วันนี้ 26 เม.ย.2568 พิธีพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 21 เม.ย. ด้วยพรบ้าน ผล บอล สำรอง
วันนี้ (26 มี.ค.2564) นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ปัจจุบันปรากฏข่าวในสื่อออนไลน์ว่ามีการเปิดจองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ล็อตพิเศษผ่านเพจ ล่าสุด นายอนุชา น
กฎหมายปราบปรามทุจริตฉบับใหม่มีผลแล้ว-นิติบุคคลเอี่ยวทุจริตมีสิทธิ์ถูกปรับนับร้อยล้าน นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ สำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ขณะนี้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 3) มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 10 ก.ค.2558 เอาผิดคลอบคลุมเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนโทษตัดสินประหารชีวิตและคดีสินบนให้ศาลตัดสิน บริษัทที่พบว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการของรัฐต้องรับผิดด้วย กฎหมายปราบปรามทุจริตฉบับใหม่มีผลแล้ว-นิติบุคคลเอี่ยวทุจริตมีสิทธิ์ถูกปรับนับร้อยล้าน นายวิชากล่าวในการแถลงข่าววันนี้ (14 ก.ค.2558) ว่า จุดประสงค์ของการแก้ พ.ร.บ. เป็นไปตามที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) ทำให้มีหน้าที่ในการปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญาดังกล่าวหลายประการ ทั้งนี้ สาระสำคัญในกฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับใหม่ คือ การกำหนดโทษสำหรับความผิดกรณีเรียกรับสินบน ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่นั้น มาตรา 123/2 กำหนดบทลงโทษกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เรียกรับสินบน มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาทหรือประหารชีวิต ทั้งนี้นายวิชาอธิบายว่า โทษประหารชีวิตนั้นมีกำหนดอยู่แล้ว ตามฐานความผิดกรณีเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่นี้ได้กำหนดตัวผู้กระทำความผิดเพิ่มเติม คือ ในส่วนของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศหรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ และยกบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาใช้ มีการปรับเปลี่ยนเฉพาะในส่วนของอัตราโทษปรับที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความเหมาะสม "กรณีโทษประหารชีวิตนั้น ป.ป.ช.ยืนยันว่าจะเป็นการใช้ดุลพินิจของศาล ไม่เกี่ยวกับ ป.ป.ช. เพราะประเด็นนี้ ในชั้นการพิจารณาของของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็เห็นว่ายังต้องให้คงการใช้บทลงโทษแบบนี้ เป็นแบบปิดกว้างไว้ เพราะมองว่า ประเด็นเกี่ยวกับสินบน ไม่ว่าจะเรียกรับหรือให้สินบนนั้น เป็นเรื่องผลกระทบที่เสียหายที่มิอาจปล่อยทิ้งได้" นายวิชากล่าว นอกจากนี้ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับ "การกำหนดฐานความผิดสำหรับนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่" ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 123/5 วรรค 2 กำหนดให้มีฐานความผิดเฉพาะสำหรับนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่ขึ้น เนื่องจากผลโยชน์ที่เกิดจากการให้สินบน เช่น การได้รับสัมปทานในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ แท้จริงแล้วผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการติดสินบนดังกล่าวก็คือนิติบุคคลนั้นเอง กฎหมายใหม่จึงกำหนดว่าหากลูกจ้างหรือตัวแทนของนิติบุคคลใดให้สินบนเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ไทยหรือต่างประเทศ และทำไปเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล ให้นิติบุคคลนั้นมีความผิดด้วย โดยถือว่าไม่มีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมเพื่อป้องกัน ส่วนการกำหนดโทษของนิติบุคคลนั้นให้เป็นโทษปรับเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของนิติบุคคลที่ไม่อาจรับโทษจำคุกได้ โดยมีอัตราโทษปรับจากค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหรือประโยชน์ที่นิติบุคคลนั้นได้รับ ซึ่งกรณีที่เป็นการให้สินบนในโครงการขนาดใหญ่อาจทำให้มีโทษปรับทางการเงินเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท มาตรการลงโทษทางการเงินนี้จะทำให้รัฐได้รับการเยียวยาความเสียหาย เพื่อเอาประโยชน์ที่นิติบุคคลไม่ควรได้กลับคืนและบ้าน ผล บอล สำรองเพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำความผิด นอกจากนี้ มีประเด็นเกี่ยวกับ "ฐานความผิดเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศเรียกรับสินบน" ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ในมาตรา 123/2 ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศหรือเจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ มีความผิดหากมีการเรียกรับสินบน ซึ่งเป็นการกำหนดฐานความผิดเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญา UNCAC และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการดำเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศ ตามหลักความผิดอาญาสองรัฐ (Dual - Criminality) กฎหมายฉบับใหม่ยังได้ระบุถึง "หลักการริบทรัพย์ตามมูลค่า" (Value- Based Confiscation) ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ มาตรา 123/6 - 123/8 กำหนดให้การริบทรัพย์ในคดีทุจริตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้ครอบคลุมถึงทรัพย์สินที่ได้มาแทนเนื่องจากมีการจำหน่าย จ่าย โอน หรือแปลงสภาพทรัพย์ไป และในกรณีที่ไม่สามารติดตามทรัพย์คืนมาได้ หรือการติดตามเป็นไปได้โดยยาก ศาลสามารถกำหนดมูลค่าของทรัพย์สินและให้มีการชำระเป็นเงินหรือริบทรัพย์อื่นที่มีมูลค่าเท่ากันได้ หลักการนี้จะเป็นการสกัดการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน และสุดท้ายเรื่อง"อายุความ" ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ มาตรา 74/1 กำหนดให้ในการดำเนินคดีอาญาตามพ.ร.บ. ป.ป.ช. ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีไปในระหว่างถูกดำเนินคดีหรือระหว่างการพิจารณาของศาล อายุความจะสะดุดหยุดอยู่ และเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลยแล้ว ถ้าจำเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ จะไม่นำเรื่องอายุความมาใช้บังคับ ซึ่งการแก้ไขนี้มิได้เป็นการขยายอายุความในคดีทุจริตแต่อย่างใด แต่เป็นการยกเว้นมิให้นับอายุความในกรณีที่ผู้กระทำความผิดหลบหนีเท่านั้น ซึ่งหลักการนี้ได้บัญญัติไว้ในพรป. ป.ป.ช. 2542 (แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554) อยู่แล้ว โดยกฎหมายใหม่ได้เพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมถึงการดําเนินคดีอาญาในทุกขั้นตอน ทั้งในกระบวนการ ไต่สวนข้อเท็จจริง กระบวนการฟ้องคดี กระบวนการพิจารณาของศาล รวมถึงกระบวนการภายหลังศาลมีคำพิพากษาด้วย โดยจะมีผลบังคับใช้ได้ในคดีที่การสอบสวนปัจจุบัน ยังไม่แล้วเสร็จ รวมถึงคดีที่ออกหมายจับ แต่จะไม่มีผลต่อคดีที่ดำเนินการจบไปแล้ว "การปรับแก้ครั้งนี้ เป็นการยกเอาประมวลกฎหมายอาญามาทั้งหมด แต่กฎหมายของ ป.ป.ช.จะครอบคลุมไปถึงคำว่า 'เจ้าพนักงานของรัฐ' ซึ่งรวมทั้งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ, นายกรัฐมนตรี , สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ , สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร, สมาชิกวุฒิสภา, สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล, เจ้าหน้าที่รัฐในต่างประเทศ, เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งในประมวลกฎหมายอาญา ไม่ได้มีกำหนดไว้ชัดเหมือน กฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับนี้ "กรณีการเอาผิดกับนิติบุคคล ซึ่งหมายถึง บริษัท, ห้างร้าน, ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น เป็นเพราะเราพบว่า คดีการให้สินบนโดยเฉพาะในต่างประเทศส่วนมากเป็นบริษัทใหญ่ที่พัวพันกับการให้สินบน แต่ยังไม่เคยมีการบัญญัติเป็นทางการชัดเจนว่าต้องมีความผิดไปด้วย รวมถึงบุคคลที่เป็นนอมินี ผู้เแทนกรรมการ บริษัท ที่กระทำไปเพื่อประโยชน์ มีการให้สินบน จูงใจ หรือ ประวิงเพื่อให้เกิดการกระทำโดยไม่ชอบ หากพบว่า นิติบุคคลนั้น ไม่ได้มีกลไกลควบคุมดูแลภายใน ก็ต้องมีความผิดไปด้วย และจะมีโทษปรับเป็นจำนวน 1 เท่า ไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหาย หรือ ของประโยชน์ที่บริษัทนั้นๆ จะได้รับ ขึ้นอยู่กับการการคำนวนของศาลว่าหน่วยงานรัฐมีความเสียหายเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด อยู่ที่การใช้ดุลพินิจของศาล ซึ่ง ป.ป.ช.เชื่อว่า กฎหมายฉบับใหม่ที่ออกมา จะทำให้ยุติการให้สินบนได้อย่างจริงจัง และทำให้ตรวจสอบเส้นทางเดินของเงินได้ชัดเจนมากขึ้น" นายวิชา กล่าว นายวิชา กล่าวขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ สนช.ที่เห็นชอบกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งองค์การสหประชาชาติมีความพึงพอใจที่ไทยออกกฎหมายฉบับนี้เพราะถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีในการพิจารณาคดีการเรียกรับสินบน หรือให้สินบน นายวิชากล่าวในการแถลงข่าววันนี้ (14 ก.ค.2558) ว่า จุดประสงค์ของการแก้ พ.ร.บ. เป็นไปตามที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) ทำให้มีหน้าที่ในการปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญาดังกล่าวหลายประการ ทั้งนี้ สาระสำคัญในกฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับใหม่ คือ การกำหนดโทษสำหรับความผิดกรณีเรียกรับสินบน ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่นั้น มาตรา 123/2 กำหนดบทลงโทษกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เรียกรับสินบน มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาทหรือประหารชีวิต ทั้งนี้นายวิชาอธิบายว่า โทษประหารชีวิตนั้นมีกำหนดอยู่แล้ว ตามฐานความผิดกรณีเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่นี้ได้กำหนดตัวผู้กระทำความผิดเพิ่มเติม คือ ในส่วนของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศหรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ และยกบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาใช้ มีการปรับเปลี่ยนเฉพาะในส่วนของอัตราโทษปรับที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความเหมาะสม "กรณีโทษประหารชีวิตนั้น ป.ป.ช.ยืนยันว่าจะเป็นการใช้ดุลพินิจของศาล ไม่เกี่ยวกับ ป.ป.ช. เพราะประเด็นนี้ ในชั้นการพิจารณาของของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็เห็นว่ายังต้องให้คงการใช้บทลงโทษแบบนี้ เป็นแบบปิดกว้างไว้ เพราะมองว่า ประเด็นเกี่ยวกับสินบน ไม่ว่าจะเรียกรับหรือให้สินบนนั้น เป็นเรื่องผลกระทบที่เสียหายที่มิอาจปล่อยทิ้งได้" นายวิชากล่าว นอกจากนี้ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับ "การกำหนดฐานความผิดสำหรับนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่" ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 123/5 วรรค 2 กำหนดให้มีฐานความผิดเฉพาะสำหรับนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่ขึ้น เนื่องจากผลโยชน์ที่เกิดจากการให้สินบน เช่น การได้รับสัมปทานในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ แท้จริงแล้วผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการติดสินบนดังกล่าวก็คือนิติบุคคลนั้นเอง กฎหมายใหม่จึงกำหนดว่าหากลูกจ้างหรือตัวแทนของนิติบุคคลใดให้สินบนเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ไทยหรือต่างประเทศ และทำไปเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล ให้นิติบุคคลนั้นมีความผิดด้วย โดยถือว่าไม่มีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมเพื่อป้องกัน ส่วนการกำหนดโทษของนิติบุคคลนั้นให้เป็นโทษปรับเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของนิติบุคคลที่ไม่อาจรับโทษจำคุกได้ โดยมีอัตราโทษปรับจากค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหรือประโยชน์ที่นิติบุคคลนั้นได้รับ ซึ่งกรณีที่เป็นการให้สินบนในโครงการขนาดใหญ่อาจทำให้มีโทษปรับทางการเงินเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท มาตรการลงโทษทางการเงินนี้จะทำให้รัฐได้รับการเยียวยาความเสียหาย เพื่อเอาประโยชน์ที่นิติบุคคลไม่ควรได้กลับคืนและเพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำความผิด นอกจากนี้ มีประเด็นเกี่ยวกับ "ฐานความผิดเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศเรียกรับสินบน" ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ในมาตรา 123/2 ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศหรือเจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ มีความผิดหากมีการเรียกรับสินบน ซึ่งเป็นการกำหนดฐานความผิดเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญา UNCAC และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการดำเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศ ตามหลักความผิดอาญาสองรัฐ (Dual - Criminality) กฎหมายฉบับใหม่ยังได้ระบุถึง "หลักการริบทรัพย์ตามมูลค่า" (Value- Based Confiscation) ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ มาตรา 123/6 - 123/8 กำหนดให้การริบทรัพย์ในคดีทุจริตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้ครอบคลุมถึงทรัพย์สินที่ได้มาแทนเนื่องจากมีการจำหน่าย จ่าย โอน หรือแปลงสภาพทรัพย์ไป และในกรณีที่ไม่สามารติดตามทรัพย์คืนมาได้ หรือการติดตามเป็นไปได้โดยยาก ศาลสามารถกำหนดมูลค่าของทรัพย์สินและให้มีการชำระเป็นเงินหรือริบทรัพย์อื่นที่มีมูลค่าเท่ากันได้ หลักการนี้จะเป็นการสกัดการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน และสุดท้ายเรื่อง"อายุความ" ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ มาตรา 74/1 กำหนดให้ในการดำเนินคดีอาญาตามพ.ร.บ. ป.ป.ช. ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีไปในระหว่างถูกดำเนินคดีหรือระหว่างการพิจารณาของศาล อายุความจะสะดุดหยุดอยู่ และเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลยแล้ว ถ้าจำเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ จะไม่นำเรื่องอายุความมาใช้บังคับ ซึ่งการแก้ไขนี้มิได้เป็นการขยายอายุความในคดีทุจริตแต่อย่างใด แต่เป็นการยกเว้นมิให้นับอายุความในกรณีที่ผู้กระทำความผิดหลบหนีเท่านั้น ซึ่งหลักการนี้ได้บัญญัติไว้ในพรป. ป.ป.ช. 2542 (แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554) อยู่แล้ว โดยกฎหมายใหม่ได้เพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมถึงการดําเนินคดีอาญาในทุกขั้นตอน ทั้งในกระบวนการ ไต่สวนข้อเท็จจริง กระบวนการฟ้องคดี กระบวนการพิจารณาของศาล รวมถึงกระบวนการภายหลังศาลมีคำพิพากษาด้วย โดยจะมีผลบังคับใช้ได้ในคดีที่การสอบสวนปัจจุบัน ยังไม่แล้วเสร็จ รวมถึงคดีที่ออกหมายจับ แต่จะไม่มีผลต่อคดีที่ดำเนินการจบไปแล้ว "การปรับแก้ครั้งนี้ เป็นการยกเอาประมวลกฎหมายอาญามาทั้งหมด แต่กฎหมายของ ป.ป.ช.จะครอบคลุมไปถึงคำว่า 'เจ้าพนักงานของรัฐ' ซึ่งรวมทั้งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ, นายกรัฐมนตรี , สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ , สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร, สมาชิกวุฒิสภา, สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล, เจ้าหน้าที่รัฐในต่างประเทศ, เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งในประมวลกฎหมายอาญา ไม่ได้มีกำหนดไว้ชัดเหมือน กฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับนี้ "กรณีการเอาผิดกับนิติบุคคล ซึ่งหมายถึง บริษัท, ห้างร้าน, ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น เป็นเพราะเราพบว่า คดีการให้สินบนโดยเฉพาะในต่างประเทศส่วนมากเป็นบริษัทใหญ่ที่พัวพันกับการให้สินบน แต่ยังไม่เคยมีการบัญญัติเป็นทางการชัดเจนว่าต้องมีความผิดไปด้วย รวมถึงบุคคลที่เป็นนอมินี ผู้เแทนกรรมการ บริษัท ที่กระทำไปเพื่อประโยชน์ มีการให้สินบน จูงใจ หรือ ประวิงเพื่อให้เกิดการกระทำโดยไม่ชอบ หากพบว่า นิติบุคคลนั้น ไม่ได้มีกลไกลควบคุมดูแลภายใน ก็ต้องมีความผิดไปด้วย และจะมีโทษปรับเป็นจำนวน 1 เท่า ไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหาย หรือ ของประโยชน์ที่บริษัทนั้นๆ จะได้รับ ขึ้นอยู่กับการการคำนวนของศาลว่าหน่วยงานรัฐมีความเสียหายเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด อยู่ที่การใช้ดุลพินิจของศาล ซึ่ง ป.ป.ช.เชื่อว่า กฎหมายฉบับใหม่ที่ออกมา จะทำให้ยุติการให้สินบนได้อย่างจริงจัง และทำให้ตรวจสอบเส้นทางเดินของเงินได้ชัดเจนมากขึ้น" นายวิชา กล่าว นายวิชา กล่าวขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ สนช.ที่เห็นชอบกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งองค์การสหประชาชาติมีความพึงพอใจที่ไทยออกกฎหมายฉบับนี้เพราะถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีในการพิจารณาคดีการเรียกรับสินบน หรือให้สินบน
การเปลี่ยนวงกินอาหารของกลุ่มพรรคเล็ก จากวันแรกกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น ตัวแทนรัฐบาลและจากพรรคพลังประชาร
บ้าน ผล บอล สำรอง -สูตร บา คา ร่า ufa365 ฟรี, joker ทดลอง, netflix joker เครดิต ฟรีslot11 joker
วันนี้ 26 เม.ย.2568 พิธีพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 21 เม.ย. ด้วยพรบ้าน ผล บอล สำรอง
วันนี้ (26 มี.ค.2564) นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ปัจจุบันปรากฏข่าวในสื่อออนไลน์ว่ามีการเปิดจองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ล็อตพิเศษผ่านเพจ ล่าสุด นายอนุชา น
กฎหมายปราบปรามทุจริตฉบับใหม่มีผลแล้ว-นิติบุคคลเอี่ยวทุจริตมีสิทธิ์ถูกปรับนับร้อยล้าน นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ สำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ขณะนี้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 3) มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 10 ก.ค.2558 เอาผิดคลอบคลุมเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนโทษตัดสินประหารชีวิตและคดีสินบนให้ศาลตัดสิน บริษัทที่พบว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการของรัฐต้องรับผิดด้วย กฎหมายปราบปรามทุจริตฉบับใหม่มีผลแล้ว-นิติบุคคลเอี่ยวทุจริตมีสิทธิ์ถูกปรับนับร้อยล้าน นายวิชากล่าวในการแถลงข่าววันนี้ (14 ก.ค.2558) ว่า จุดประสงค์ของการแก้ พ.ร.บ. เป็นไปตามที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) ทำให้มีหน้าที่ในการปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญาดังกล่าวหลายประการ ทั้งนี้ สาระสำคัญในกฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับใหม่ คือ การกำหนดโทษสำหรับความผิดกรณีเรียกรับสินบน ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่นั้น มาตรา 123/2 กำหนดบทลงโทษกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เรียกรับสินบน มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาทหรือประหารชีวิต ทั้งนี้นายวิชาอธิบายว่า โทษประหารชีวิตนั้นมีกำหนดอยู่แล้ว ตามฐานความผิดกรณีเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่นี้ได้กำหนดตัวผู้กระทำความผิดเพิ่มเติม คือ ในส่วนของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศหรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ และยกบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาใช้ มีการปรับเปลี่ยนเฉพาะในส่วนของอัตราโทษปรับที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความเหมาะสม "กรณีโทษประหารชีวิตนั้น ป.ป.ช.ยืนยันว่าจะเป็นการใช้ดุลพินิจของศาล ไม่เกี่ยวกับ ป.ป.ช. เพราะประเด็นนี้ ในชั้นการพิจารณาของของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็เห็นว่ายังต้องให้คงการใช้บทลงโทษแบบนี้ เป็นแบบปิดกว้างไว้ เพราะมองว่า ประเด็นเกี่ยวกับสินบน ไม่ว่าจะเรียกรับหรือให้สินบนนั้น เป็นเรื่องผลกระทบที่เสียหายที่มิอาจปล่อยทิ้งได้" นายวิชากล่าว นอกจากนี้ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับ "การกำหนดฐานความผิดสำหรับนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่" ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 123/5 วรรค 2 กำหนดให้มีฐานความผิดเฉพาะสำหรับนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่ขึ้น เนื่องจากผลโยชน์ที่เกิดจากการให้สินบน เช่น การได้รับสัมปทานในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ แท้จริงแล้วผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการติดสินบนดังกล่าวก็คือนิติบุคคลนั้นเอง กฎหมายใหม่จึงกำหนดว่าหากลูกจ้างหรือตัวแทนของนิติบุคคลใดให้สินบนเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ไทยหรือต่างประเทศ และทำไปเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล ให้นิติบุคคลนั้นมีความผิดด้วย โดยถือว่าไม่มีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมเพื่อป้องกัน ส่วนการกำหนดโทษของนิติบุคคลนั้นให้เป็นโทษปรับเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของนิติบุคคลที่ไม่อาจรับโทษจำคุกได้ โดยมีอัตราโทษปรับจากค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหรือประโยชน์ที่นิติบุคคลนั้นได้รับ ซึ่งกรณีที่เป็นการให้สินบนในโครงการขนาดใหญ่อาจทำให้มีโทษปรับทางการเงินเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท มาตรการลงโทษทางการเงินนี้จะทำให้รัฐได้รับการเยียวยาความเสียหาย เพื่อเอาประโยชน์ที่นิติบุคคลไม่ควรได้กลับคืนและบ้าน ผล บอล สำรองเพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำความผิด นอกจากนี้ มีประเด็นเกี่ยวกับ "ฐานความผิดเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศเรียกรับสินบน" ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ในมาตรา 123/2 ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศหรือเจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ มีความผิดหากมีการเรียกรับสินบน ซึ่งเป็นการกำหนดฐานความผิดเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญา UNCAC และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการดำเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศ ตามหลักความผิดอาญาสองรัฐ (Dual - Criminality) กฎหมายฉบับใหม่ยังได้ระบุถึง "หลักการริบทรัพย์ตามมูลค่า" (Value- Based Confiscation) ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ มาตรา 123/6 - 123/8 กำหนดให้การริบทรัพย์ในคดีทุจริตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้ครอบคลุมถึงทรัพย์สินที่ได้มาแทนเนื่องจากมีการจำหน่าย จ่าย โอน หรือแปลงสภาพทรัพย์ไป และในกรณีที่ไม่สามารติดตามทรัพย์คืนมาได้ หรือการติดตามเป็นไปได้โดยยาก ศาลสามารถกำหนดมูลค่าของทรัพย์สินและให้มีการชำระเป็นเงินหรือริบทรัพย์อื่นที่มีมูลค่าเท่ากันได้ หลักการนี้จะเป็นการสกัดการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน และสุดท้ายเรื่อง"อายุความ" ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ มาตรา 74/1 กำหนดให้ในการดำเนินคดีอาญาตามพ.ร.บ. ป.ป.ช. ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีไปในระหว่างถูกดำเนินคดีหรือระหว่างการพิจารณาของศาล อายุความจะสะดุดหยุดอยู่ และเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลยแล้ว ถ้าจำเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ จะไม่นำเรื่องอายุความมาใช้บังคับ ซึ่งการแก้ไขนี้มิได้เป็นการขยายอายุความในคดีทุจริตแต่อย่างใด แต่เป็นการยกเว้นมิให้นับอายุความในกรณีที่ผู้กระทำความผิดหลบหนีเท่านั้น ซึ่งหลักการนี้ได้บัญญัติไว้ในพรป. ป.ป.ช. 2542 (แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554) อยู่แล้ว โดยกฎหมายใหม่ได้เพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมถึงการดําเนินคดีอาญาในทุกขั้นตอน ทั้งในกระบวนการ ไต่สวนข้อเท็จจริง กระบวนการฟ้องคดี กระบวนการพิจารณาของศาล รวมถึงกระบวนการภายหลังศาลมีคำพิพากษาด้วย โดยจะมีผลบังคับใช้ได้ในคดีที่การสอบสวนปัจจุบัน ยังไม่แล้วเสร็จ รวมถึงคดีที่ออกหมายจับ แต่จะไม่มีผลต่อคดีที่ดำเนินการจบไปแล้ว "การปรับแก้ครั้งนี้ เป็นการยกเอาประมวลกฎหมายอาญามาทั้งหมด แต่กฎหมายของ ป.ป.ช.จะครอบคลุมไปถึงคำว่า 'เจ้าพนักงานของรัฐ' ซึ่งรวมทั้งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ, นายกรัฐมนตรี , สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ , สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร, สมาชิกวุฒิสภา, สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล, เจ้าหน้าที่รัฐในต่างประเทศ, เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งในประมวลกฎหมายอาญา ไม่ได้มีกำหนดไว้ชัดเหมือน กฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับนี้ "กรณีการเอาผิดกับนิติบุคคล ซึ่งหมายถึง บริษัท, ห้างร้าน, ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น เป็นเพราะเราพบว่า คดีการให้สินบนโดยเฉพาะในต่างประเทศส่วนมากเป็นบริษัทใหญ่ที่พัวพันกับการให้สินบน แต่ยังไม่เคยมีการบัญญัติเป็นทางการชัดเจนว่าต้องมีความผิดไปด้วย รวมถึงบุคคลที่เป็นนอมินี ผู้เแทนกรรมการ บริษัท ที่กระทำไปเพื่อประโยชน์ มีการให้สินบน จูงใจ หรือ ประวิงเพื่อให้เกิดการกระทำโดยไม่ชอบ หากพบว่า นิติบุคคลนั้น ไม่ได้มีกลไกลควบคุมดูแลภายใน ก็ต้องมีความผิดไปด้วย และจะมีโทษปรับเป็นจำนวน 1 เท่า ไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหาย หรือ ของประโยชน์ที่บริษัทนั้นๆ จะได้รับ ขึ้นอยู่กับการการคำนวนของศาลว่าหน่วยงานรัฐมีความเสียหายเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด อยู่ที่การใช้ดุลพินิจของศาล ซึ่ง ป.ป.ช.เชื่อว่า กฎหมายฉบับใหม่ที่ออกมา จะทำให้ยุติการให้สินบนได้อย่างจริงจัง และทำให้ตรวจสอบเส้นทางเดินของเงินได้ชัดเจนมากขึ้น" นายวิชา กล่าว นายวิชา กล่าวขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ สนช.ที่เห็นชอบกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งองค์การสหประชาชาติมีความพึงพอใจที่ไทยออกกฎหมายฉบับนี้เพราะถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีในการพิจารณาคดีการเรียกรับสินบน หรือให้สินบน นายวิชากล่าวในการแถลงข่าววันนี้ (14 ก.ค.2558) ว่า จุดประสงค์ของการแก้ พ.ร.บ. เป็นไปตามที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) ทำให้มีหน้าที่ในการปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญาดังกล่าวหลายประการ ทั้งนี้ สาระสำคัญในกฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับใหม่ คือ การกำหนดโทษสำหรับความผิดกรณีเรียกรับสินบน ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่นั้น มาตรา 123/2 กำหนดบทลงโทษกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เรียกรับสินบน มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาทหรือประหารชีวิต ทั้งนี้นายวิชาอธิบายว่า โทษประหารชีวิตนั้นมีกำหนดอยู่แล้ว ตามฐานความผิดกรณีเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่นี้ได้กำหนดตัวผู้กระทำความผิดเพิ่มเติม คือ ในส่วนของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศหรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ และยกบทกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาใช้ มีการปรับเปลี่ยนเฉพาะในส่วนของอัตราโทษปรับที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความเหมาะสม "กรณีโทษประหารชีวิตนั้น ป.ป.ช.ยืนยันว่าจะเป็นการใช้ดุลพินิจของศาล ไม่เกี่ยวกับ ป.ป.ช. เพราะประเด็นนี้ ในชั้นการพิจารณาของของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็เห็นว่ายังต้องให้คงการใช้บทลงโทษแบบนี้ เป็นแบบปิดกว้างไว้ เพราะมองว่า ประเด็นเกี่ยวกับสินบน ไม่ว่าจะเรียกรับหรือให้สินบนนั้น เป็นเรื่องผลกระทบที่เสียหายที่มิอาจปล่อยทิ้งได้" นายวิชากล่าว นอกจากนี้ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับ "การกำหนดฐานความผิดสำหรับนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่" ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 123/5 วรรค 2 กำหนดให้มีฐานความผิดเฉพาะสำหรับนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่ขึ้น เนื่องจากผลโยชน์ที่เกิดจากการให้สินบน เช่น การได้รับสัมปทานในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ แท้จริงแล้วผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการติดสินบนดังกล่าวก็คือนิติบุคคลนั้นเอง กฎหมายใหม่จึงกำหนดว่าหากลูกจ้างหรือตัวแทนของนิติบุคคลใดให้สินบนเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ไทยหรือต่างประเทศ และทำไปเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล ให้นิติบุคคลนั้นมีความผิดด้วย โดยถือว่าไม่มีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมเพื่อป้องกัน ส่วนการกำหนดโทษของนิติบุคคลนั้นให้เป็นโทษปรับเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของนิติบุคคลที่ไม่อาจรับโทษจำคุกได้ โดยมีอัตราโทษปรับจากค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหรือประโยชน์ที่นิติบุคคลนั้นได้รับ ซึ่งกรณีที่เป็นการให้สินบนในโครงการขนาดใหญ่อาจทำให้มีโทษปรับทางการเงินเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท มาตรการลงโทษทางการเงินนี้จะทำให้รัฐได้รับการเยียวยาความเสียหาย เพื่อเอาประโยชน์ที่นิติบุคคลไม่ควรได้กลับคืนและเพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำความผิด นอกจากนี้ มีประเด็นเกี่ยวกับ "ฐานความผิดเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศเรียกรับสินบน" ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ในมาตรา 123/2 ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศหรือเจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ มีความผิดหากมีการเรียกรับสินบน ซึ่งเป็นการกำหนดฐานความผิดเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญา UNCAC และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการดำเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศ ตามหลักความผิดอาญาสองรัฐ (Dual - Criminality) กฎหมายฉบับใหม่ยังได้ระบุถึง "หลักการริบทรัพย์ตามมูลค่า" (Value- Based Confiscation) ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ มาตรา 123/6 - 123/8 กำหนดให้การริบทรัพย์ในคดีทุจริตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้ครอบคลุมถึงทรัพย์สินที่ได้มาแทนเนื่องจากมีการจำหน่าย จ่าย โอน หรือแปลงสภาพทรัพย์ไป และในกรณีที่ไม่สามารติดตามทรัพย์คืนมาได้ หรือการติดตามเป็นไปได้โดยยาก ศาลสามารถกำหนดมูลค่าของทรัพย์สินและให้มีการชำระเป็นเงินหรือริบทรัพย์อื่นที่มีมูลค่าเท่ากันได้ หลักการนี้จะเป็นการสกัดการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน และสุดท้ายเรื่อง"อายุความ" ซึ่งตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ มาตรา 74/1 กำหนดให้ในการดำเนินคดีอาญาตามพ.ร.บ. ป.ป.ช. ถ้าผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีไปในระหว่างถูกดำเนินคดีหรือระหว่างการพิจารณาของศาล อายุความจะสะดุดหยุดอยู่ และเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลยแล้ว ถ้าจำเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ จะไม่นำเรื่องอายุความมาใช้บังคับ ซึ่งการแก้ไขนี้มิได้เป็นการขยายอายุความในคดีทุจริตแต่อย่างใด แต่เป็นการยกเว้นมิให้นับอายุความในกรณีที่ผู้กระทำความผิดหลบหนีเท่านั้น ซึ่งหลักการนี้ได้บัญญัติไว้ในพรป. ป.ป.ช. 2542 (แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554) อยู่แล้ว โดยกฎหมายใหม่ได้เพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมถึงการดําเนินคดีอาญาในทุกขั้นตอน ทั้งในกระบวนการ ไต่สวนข้อเท็จจริง กระบวนการฟ้องคดี กระบวนการพิจารณาของศาล รวมถึงกระบวนการภายหลังศาลมีคำพิพากษาด้วย โดยจะมีผลบังคับใช้ได้ในคดีที่การสอบสวนปัจจุบัน ยังไม่แล้วเสร็จ รวมถึงคดีที่ออกหมายจับ แต่จะไม่มีผลต่อคดีที่ดำเนินการจบไปแล้ว "การปรับแก้ครั้งนี้ เป็นการยกเอาประมวลกฎหมายอาญามาทั้งหมด แต่กฎหมายของ ป.ป.ช.จะครอบคลุมไปถึงคำว่า 'เจ้าพนักงานของรัฐ' ซึ่งรวมทั้งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ, นายกรัฐมนตรี , สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ , สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร, สมาชิกวุฒิสภา, สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล, เจ้าหน้าที่รัฐในต่างประเทศ, เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งในประมวลกฎหมายอาญา ไม่ได้มีกำหนดไว้ชัดเหมือน กฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับนี้ "กรณีการเอาผิดกับนิติบุคคล ซึ่งหมายถึง บริษัท, ห้างร้าน, ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น เป็นเพราะเราพบว่า คดีการให้สินบนโดยเฉพาะในต่างประเทศส่วนมากเป็นบริษัทใหญ่ที่พัวพันกับการให้สินบน แต่ยังไม่เคยมีการบัญญัติเป็นทางการชัดเจนว่าต้องมีความผิดไปด้วย รวมถึงบุคคลที่เป็นนอมินี ผู้เแทนกรรมการ บริษัท ที่กระทำไปเพื่อประโยชน์ มีการให้สินบน จูงใจ หรือ ประวิงเพื่อให้เกิดการกระทำโดยไม่ชอบ หากพบว่า นิติบุคคลนั้น ไม่ได้มีกลไกลควบคุมดูแลภายใน ก็ต้องมีความผิดไปด้วย และจะมีโทษปรับเป็นจำนวน 1 เท่า ไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหาย หรือ ของประโยชน์ที่บริษัทนั้นๆ จะได้รับ ขึ้นอยู่กับการการคำนวนของศาลว่าหน่วยงานรัฐมีความเสียหายเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด อยู่ที่การใช้ดุลพินิจของศาล ซึ่ง ป.ป.ช.เชื่อว่า กฎหมายฉบับใหม่ที่ออกมา จะทำให้ยุติการให้สินบนได้อย่างจริงจัง และทำให้ตรวจสอบเส้นทางเดินของเงินได้ชัดเจนมากขึ้น" นายวิชา กล่าว นายวิชา กล่าวขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ สนช.ที่เห็นชอบกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งองค์การสหประชาชาติมีความพึงพอใจที่ไทยออกกฎหมายฉบับนี้เพราะถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีในการพิจารณาคดีการเรียกรับสินบน หรือให้สินบน
การเปลี่ยนวงกินอาหารของกลุ่มพรรคเล็ก จากวันแรกกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น ตัวแทนรัฐบาลและจากพรรคพลังประชาร