ชาวบ้านล่ารายชื่อไล่ - พศ.เตรียมเอาผิด "อดีตเจ้าอาวาส" ทำร้ายแม่

การปรากฏขึ้นของ “แคดเมียม” เกือบ 13,000 ตัน ที่ถูกจัดเก็บอยู่ในโรงงาน 3 แห่งใน จ.สมุทรสาคร,โรงงานทุนจีนที่ ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี และโรงงานที่เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่

ชาวปราณบุรีปิดถนนประท้วง หลังตำรวจไม่นำผู้ต้องหาขอขมาผู้เสียชีวิต ชาวอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรี

การปรากฎตัวของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามีหลายท่าทางที่แสดงออกต่อหน้าสาธารณชน ด้วยบุคลิกที่มั่นใจ และรอยยิ้มที่เป็นกันเองกับสื่อมวลชน และแสดงท่าทางทั้งกา

การปรากฏขึ้นของ “แคดเมียม” เกือบ 13,000 ตัน ที่ถูกจัดเก็บอยู่ในโรงงาน 3 แห่งใน จ.สมุทรสาคร,โรงงานทุนจีนที่ ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี และโรงงานที่เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งหมดถูกระบุว่าเป็นตะกรันจากการหลอมสังกะสีปนเปื้อนแคดเมียมที่ถูกขุดขึ้นมาจากหลุมฝังกลบกากแร่ของบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ (ชื่อเดิมคือ ผาแดง อินดัสตรี) ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ท่ามกลางคำถามที่ต้องรอคำตอบจาก 2 หน่วยงาน คือ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตาก ว่า ... “อนุญาตให้ขุดกากของเสียอันตรายขึ้นมาจากหลุมฝังกลบได้อย่างไร” หากพิจารณาจาก “เส้นทางของแคดเมียม” ตั้งแต่ถูกขุดขึ้นมาจากหลุมฝังกลบที่ จ.ตาก ผ่านการขออนุญาตขนย้ายไปยังปลายทางที่ บริษัท เจแอนด์บี เมททอล จ.สมุทรสาคร ก่อนจะถูกกระจายออกไปที่โรงงานอื่นในสมุทรสาคร ชลบุรี และ กทม. จะพบว่า มีทั้งขั้นตอนที่มีเอกสารการขออนุญาตอย่าง “ถูกต้อง” ตั้งแต่การขุด การขอขนย้าย การขอเปลี่ยนแปลงโรงงานปลายทางเพื่อให้รับกากแคดเมียมได้ ... และก็มีทั้งขั้นตอนที่ “ไม่ถูกต้อง” นั่นคือการกระจายกากแคดเมียมจากปลายทางที่ เจ แอนด์บี เมททอล จ.สมุทรสาคร ไปยังโรงงานอื่นๆ แต่คำว่า “ถูกต้อง” ก็ต้องถูกนำมาตีความให้ชัดเจนด้วยว่า ... ถูกต้อง จริงหรือไม่ ในเมื่อต้นทางของการขนย้ายแคดเมียมล็อตนี้ มีหลักฐานเป็นเอกสารการขออนุญาตผ่านหน่วยงานของรัฐอย่างถูกต้อง ระบุชื่อโรงงานต้นทาง ระบุชื่อโรงงานปลายทาง ระบุจำนวนและชนิดของกากของเสียว่า “แคดเมียมและสังกะสี” อย่างชัดเจน และได้รับอนุญาตให้ทำได้ ... แต่เมื่อถูกตรวจพบ หรือเมื่อเรื่องการขุดและขนย้ายแคดเมียมถูกเปิดเผยจนสร้างความตื่นตกใจให้กับสังคม กระทรวงอุตสาหกรรมกลับมีกระบวนการเอาผิดและลงโทษทั้งเอกชนและเจ้าหน้าที่รัฐจากหน่วยงานในสังกัดเดียวกัน ถือเป็นการกระทำที่ย้อนแย้งกันอย่างชัดเจนของหน่วยงานรัฐ ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามใหญ่ตามมาว่า คำว่า “ถูก หรือ ไม่ถูก” อาจมีคำนิยามที่ต่างกันออกไปหรือไม่ และจะได้ผลที่ต่างออกไปจากเดิมหรือไม่ หากการพิจารณาอนุญาตใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับการปล่อยหรือเคลื่อนย้ายของเสียอันตราย จะต้องถูกบังคับให้เป็น “ข้อมูลเปิด” หรือ เป็นข้อมูลที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษ หรือ กฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) ถือเป็นคำตอบที่สำคัญของคำถามนี้ ... โดยเฉพาะหากเราจะไล่เรียงปรากฏการณ์ขุดและขนย้ายแคดเมียมกันไปทีละขั้นตอน เราจะเห็นได้ทันที จะเห็นได้ทันทีว่า “ถ้ามีกฎหมาย PRTR” … เราจะได้ผลลัพธ์ของเรื่องนี้ที่ต่างออกไป “สาระสำคัญที่อยู่ในชื่อของร่างกฎหมาย ... PRTR คือ กฎหมายที่จะไปบังคับให้ผู้ประกอบการที่มีกิจกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษได้จะต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดสู่สาธารณะ ตั้งแต่การนำเข้า จัดเก็บ ปล่อยออก รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายสารมลพิษ เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ และมีส่วนร่วมในการตรวจสอบหรือแสดงความเห็นได้ โดยเฉพาะในแง่ที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยที่ประชาชนทุกคนควรจะมีสิทธิรับรู้ว่ามีกิจกรรมใดๆ ที่ก่อมลพิษอยู่ใกล้ๆ ตัวเขาหรือไม่” ชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นผู้ทำคดีฟ้องร้องให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมจนชนะคดีในหลายพื้นที่ อธิบายสาระสำคัญของกฎหมาย PRTR ทนายชำนัญ เป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมผลักดันให้มีกฎหมาย PRTR เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะถึงแม้ว่าประชาชนที่เขาเข้าไปช่วยเหลือในการฟ้องร้องจะชนะคดีในชั้นศาลทุกคดี ทั้งคดีแพ่งที่ฟ้องต่อโรงงานฐานเป็นผู้ก่อและลักลอบทิ้งสารมลพิษ และคดีทางปกครองที่ฟ้องต่อหน่วยงานรัฐฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่ล้วนเป็นเพราะมีความเสียหายเกิดขึ้นมากแล้ว และสิ่งที่ประชาชนได้กลับมาก็มีเพียงคำพิพากษาที่ให้สถานะเป็น “ผู้ชนะคดี” แต่ยังไม่มีพื้นที่ไหนเลยที่ได้รับเงินเยียวยาตามคำสั่งศาล รวมทั้งไม่มีพื้นที่ไหนเลยที่สามารถกำจัดกากของเสียอันตรายออกไปได้หลังมีพิพากษา ดังนั้นเขาจึงมีความเห็นว่า การแก้ปัญหาลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ต้องแก้ตั้งแต่การป้องกันให้ “ไม่กล้าทิ้ง” เพราะเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ยากที่จะช่วยเหลือผู้ได้รับกระทบ และกรณีแคดเมียม ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า สามารถนำหลักการ “ถ้ามีกฎหมาย PRTR” มาเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ไปทีละขั้นตอน มีรายงานว่า บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (จ.ตาก) ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองแร่สังกะสีและหลุมฝังกลบ ยื่นคำขอไปยังหน่วยงานทีมีหน้าที่รับผิดชอบคือกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เพื่อขอขุด “กากแร่” ขึ้นมาจากหลุมฝังกลบ โดยมีสัญญาขาย “กากแคดเมียม กากสังกะสี” ให้กับบริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด (จ.สมุทรสาคร) เป็นเอกสารที่ต้องแนบประกอบไปให้หน่วยงานรัฐ ถ้ามีกฎหมาย PRTR … ทนายชำนัญ ยืนยันว่า ประชาชนที่ จ.ตาก จะสามารถรับรู้และจะเคลื่อนไหวคัดค้านได้ตั้งแต่ก่อนการขุดจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลหลัก 2 ประเด็น คือ “ถึงแม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีกฎหมาย PRTR ก็ยังน่าแปลกใจอยู่ดี เพราะในระหว่างที่มีกระบวนการสอบสวนเกิดขึ้นมากมายทั้งจากภายในกระทรวงอุตสาหกรรม ในชั้นกรรมาธิการสภาฯ รวมถึงสื่อมวลชน แต่เอกสารสำคัญอย่าง แบบฟอร์มการขออนุญาตขุด และสัญญาซื้อขายแคดเมียม ซึ่งเป็นเอกสารที่มีอยู่จริงอย่างแน่นอน และมีความสำคัญถึงขั้นที่จะบ่งบอกได้ถึงเหตุผลในการขอขุดและเหตุผลที่ได้รับอนุญาตให้ขุดกลับยังไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ” “เราจึงต้องมีกฎหมาย PRTR เพื่อให้การเปิดเผยข้อมูลมีสภาพบังคับตามกฎหมาย” ทนายชำนัญ กล่าว การขนย้ายแคดเมียมครั้งนี้ ถูกตรวจสอบพบ “เอกสารกำกับการขนย้าย” (Manifest) ที่ผ่านการพิจารณา “อนุญาต” จากอุตสาหกรรม จ.ตาก 3 ครั้ง (จากการขอ 6 ครั้ง) โดยการอนุญาตครั้งแรก คือ คำขอเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2566 จาก บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด ยื่นต่ออุตสาหกรรม จ.ตาก แจ้งขอขนย้าย “กากแคดเมียมและกากสังกะสี” ปริมาณ 5,000 ตัน ไปกำจัดด้วยวิธีรีไซเคิล (รหัส 049) ที่บริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จ.สมุทรสาคร เลขทะเบียน 3-106-45/57สค โดยขออนุญาตขนย้ายตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2566 – 9 กรกฎาคม 2566 .... (106 คือ โรงงานรีไซเคิล) (57 คือ ปีที่ก่อตั้งโรงงาน) (สค คือ สมุทรสาคร) ซึ่งแน่นอนว่า มีเอกสารแบบเดียวกันนี้ ครบทั้ง 13,000 ตันที่ขอขนย้าย ... ถ้ามีกฎหมาย PRTR … ทนายชำนัญ แสดงความเห็นว่า เมื่อมีเอกสารที่ปรากฏอยู่ในระบบของกรมโรงงานอุตสาหกรรม นี่จึงเป็นการขออนุญาตขนย้ายกากของเสียอันตรายอย่างถูกต้อง ... แต่มีปัญหา คือ มีเพียงแค่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น ที่มองเห็นเอกสารฉบับนี้ คนสมุทรสาครซึ่งจะต้องแคดเมียมไปอยู่ใกล้บ้านมองไม่เห็น รับรู้ ประชาชนที่อยู่ระหว่างทางการขนย้ายแคดเมียมก็ไม่รับรู้ “นี่เป็นประเด็นเดียวกับขั้นตอนการขุด คือ ถ้าเอกสารกำกับการขนย้ายของเสียอันตรายทุกฉบับถูกกฎหมายบังคับให้ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งจะรวมถึงการขอขนย้ายแคดเมียม 13,000 ตัน จาก จ.ตาก ไปที่ จ.สมุทรสาครด้วย ... การขนย้ายครั้งนี้จะถูกประท้วงจากคนสมุทรสาครแบบเดียวกับที่คนจังหวัดตากกำลังออกมาประท้วงการขนแคดเมียมกลับไปที่หลุมฝังกลบหรือไม่ และหากถูกประท้วงจริง การขนย้ายจะเกิดขึ้นได้หรือไม่” “ถ้ามีกฎหมาย PRTR การขนย้ายไปโรงงานทุนจีนเถื่อน ที่ ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ก็อาจจะไม่เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นได้ยาก เพราะแคดเมียมจะมาถึงสมุทรสาครก็ยากแล้ว หรือหากเขายังจะทำกันจริงๆ ก็ต้องทำด้วยวิธีการลักลอบ ซึ่งมีโทษรุนแรงกว่ากันมาก” ในเอกสารใบยอนุญาตจัดตั้งโรงงาน (รง.4) ของ บริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด (สมุทรสาคร) มีการแจ้งขอเปลี่ยนแปลงโรงงานเกิดขึ้น ... โดยมี “บันทึกการเปลี่ยนแปลง” ลำดับที่ 7/1 ข้อ 5 ระบุว่า “แจ้งเพิ่มเครื่องจักรจากเดิม 771.65 แรงม้า เครื่องบดย่อยโลหะ 50 แรงม้า เพื่อเตรียมวัตถุดิบบดย่อย กาก ตะกรัน สังกะสี แคดเมียม ทองแดง ทองเหลือง ... พิจารณาแล้ว ไม่เข้าข่ายขยายโรงงาน ตามคำขอทั่วไป เลขรับที่ 3275 ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2566” ลงนามโดย อุตสาหกรรมจเดลิ นิ ว ส์ งวด นี้ังหวัดสมุทรสาคร (ณ ขณะนั้น) เอกสารที่ระบุว่า เจ แอนด์ บี ขอเปลี่ยนแปลงโรงงานให้รับกากสังกะสีและแคดเมียมได้เมื่อ 16 มิถุนายน 2566 ... เป็นคำตอบสำคัญของคำถามที่ว่า เบาด์ แอนด์ บียอนด์ (ตาก) สามารถทำเรื่องขอส่งกากสังกะสีและกากแคดเมียมไปที เจ แอนด์ บี (สมุทรสาคร) ซึ่งเป็นโรงงานรีไซเคิล มีเพียงใบอนุญาตหลอมอลูมิเนียมได้อย่างไร ถ้ามีกฎหมาย PRTR…ประชาชนก็จะรู้ทันทีว่า โรงงานหลอมอลูมิเนียมที่ชื่อ เจ แอนด์ บี เมททอล...แจ้งขอเปลี่ยนแปลงให้มีความสามารถบดย่อยสังกะสีและแคดเมียมซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้แล้ว หมายความว่าอาจจะมีแคดเมียมมาถูกเก็บไว้ที่นี่ ก็จะสามารถเรียกร้องขอให้เปิดเผยต่อมาได้ว่า มีเทคโนโลยีในการบดย่อยและจัดเก็บแคดเมียมที่ปลอดภัยพอจริงตามอุตสาหกรรม จ.สมุทรสาคร ตรวจสอบไว้แล้วจริงหรือไม่ และที่สำคัญ คือ จะรู้ด้วยว่า การลงนามของอุตสาหกรรม จ.สมุทรสาครครั้งนี้ เกิดขึ้นล่วงหน้าเพียง 12 วัน ก่อนที่จะมีคำขอส่งแคดเมียมมาจาก จ.ตาก ในฐานะทนายความที่ทำคดีเกี่ยวกับปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมมาในหลายกรณี ชำนัญ ศิริรักษ์ จึงพยายามสะท้อนให้สังคมเห็นถึงปัญหาที่ใหญ่ไปกว่าการขุดและเคลื่อนย้ายมลพิษอันตรายอย่างกากแคดเมียม นั่นคือ ปัญหาที่ประเทศไทย ยังไม่สามารถออกกฎหมายให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษได้ ซึ่งมีความหมายตามมาด้วยว่า ข้อมูลมลพิษ ถูกผูกขาดการรับรู้ไว้ที่หน่วยงานรัฐไม่กี่หน่วยงานเท่านั้น “ภาคอุตสาหกรรม เขามักจะมีข้ออ้างว่า ข้อมูลการใช้สารเคมีต่างๆ เป็นเรื่องของสูตรผสมที่เป็นความลับทางการค้า หากเปิดเผยจะส่งผลให้ถูกขโมยสูตรได้ แต่จริงๆ แล้ว กฎหมาย PRTR เพีงขอให้เปิดเผยข้อมูลการจัดเก็บ นำเข้า การปล่อย หรือการเคลื่อนย้ายสารมลพิษเท่านั้น ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับสูตรลับทางการค้าแต่อย่างใด” “ถ้าไม่โลกสวย ก็เข้าใจกันได้ว่า แม้จะมีกฎหมาย PRTR ก็ยังอาจมีความพยายามปกปิดข้อมูลการปล่อยหรือเคลื่อนย้ายมลพิษได้อยู่ดี ดังนั้นมันก็ต้องสร้างกลไกการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพควบคู่ไปด้วยเลย” “ในกฎหมาย PRTR ที่หลายประเทศใช้กันไปแล้ว เขาสามารถลงลึกไปได้ถึงการคำนวณว่า โรงงานที่รับของเสียไปรีไซเคิลจะต้องเหลือกากสุดท้ายที่ต้องถูกส่งออกไปกำจัดอย่างถูกต้องอีกเท่าไหร่ ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของประเทศไทย คือ เมื่อโรงงานรีไซเคิลรับของเสียไปรีไซเคิลแล้ว กลับแทบไม่เคยส่งกากสุดท้ายที่เหลือจากการรีไซเคิลออกไปกำจัดอย่างถูกต้องเลย” “ถ้ามีกฎหมาย PRTR … ประชาชนก็จะรู้ได้เลย ว่า มีกากของเสียอันตรายจำนวนนับล้านตันหายไปจากระบบที่รัฐดูแลอยู่ในแต่ละปี และอย่างน้อยเราก็จะรู้ว่า มันหายไปในขั้นตอนไหน และจะไปตามหาของหายได้จากหน่วยงานไหนบ้าง” ทนายชำนัญ ทิ้งท้าย รายงานโดย: สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา

วันนี้ (27 พ.ค.2564) พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่ายเปิดระบบลงทะเบียนฉีดวัคชีน COVID-19 "ไทยร่วมใจ กรุงเทพปลอดภัย" ผ่าน www.ไทยร่วมใจ.com เพื่