นายกฯ ห่วงใยคนไทยในยูเครน สั่งดูแลใกล้ชิด

กลุ่มขบวนการที่ถูกเปิดออกมาใน “คดีทุจริตยา โรงพยาบาลทหารผ่านศึก” ขณะนี้แบ่งออกเป็น กลุ่มผู้มีสิทธิเบิกตรง นายหน้าจัดแจง และบุคลากรในโรงพยาบาล และ ยังมีกลุ่มอื่นอีกหรือไม่ ที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้

ชาวนาอยุธยาวอนรัฐบาลทบทวนส่งน้ำรักษาข้าวใกล้เก็บเกี่ยว บางส่วนเริ่มมีปัญหาข้าวลีบจำใจเกี่ยวทิ้ง ชาวน

วันนี้ (18 ก.ค.2565) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงกรณีกระทรวงสาธารณสุข เชิญ กทม. เข้าร่วมประชุมวันนี้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือการระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ว่า เป็นการเชิญนายขจิ

กลุ่มขบวนการที่ถูกเปิดออกมาใน “คดีทุจริตยา โรงพยาบาลทหารผ่านศึก” ขณะนี้แบ่งออกเป็น กลุ่มผู้มีสิทธิเบิกตรง นายหน้าจัดแจง และบุคลากรในโรงพยาบาล และ ยังมีกลุ่มอื่นอีกหรือไม่ ที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ข้อมูลของ ป.ป.ท.พบว่า ในคดีที่ผ่านมา ๆ พบว่า การทุจริตยามีการโยงใยไปถึงผู้รับผลประโยชน์ 3 กลุ่มใหญ่ ด้วยกัน รวมถึง ตัวละครที่ยังไม่ถูกพูดถึงในกรณีของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก คือ “บริษัทขายยา” ซึ่งแต่ละคดี อาจจะไม่ได้มีโครงสร้างกลุ่มคน ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ตายตัว เหมือนกันไปทุกคดี ขณะที่ 3 กลุ่มใหญ่ ที่ ป.ป.ท.พบว่า มักจะโยงใยอยู่ในขบวนการทุจริตเบิกจ่ายยา กลุ่มแรก คือ ผู้ใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว กลุ่มที่ 2 คือ บุคลากรในโรงพยาบาล และกลุ่มสุดท้ายที่ดูเหมือนจะได้ผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำ ในคดีที่ผ่าน ๆ มา คือ “บริษัทขายยา” พฤติกรรมในคดีทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึกที่มักพบ คือ การนัดแนะให้ทานอาหารแสลงเพื่อให้ในวันที่ไปตรวจจะได้มีอาการของโรคชัดขึ้น รวมถึงนัดแนะคำพูดเพื่อขอให้หมอสั่งยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ที่มีราคาแพง พฤติกรรมเช่นนี้เมื่อเทียบกับคดีเก่าเรียกว่า “การยิงยา” การยิงยา ถือเป็น 1 ใน 3 วิธี ที่ผู้มีสิทธิรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการทั้งที่เป็นผู้ป่วยจริง ผู้แกล้งป่วย หรือ ป่วยเล็ก ป่วยน้อย มักใช้ เพื่อให้ได้ยาที่ต้องการออกไปขายต่อ และวิธีการนี้เจ้าหน้าที่ระบุว่า มักจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนไปถึงบริษัทขายยา หรือ ตัวแทนจำหน่าย แต่ยังมีอีก 2 วิธี คือ การสวมสิทธิ โดยการสวมรอยไปใช้สิทธิแทน และอีกแบบคือ การชอปปิ้งยา คือ ตระเวนไปโรงพยาบาลหลายแห่งเพื่อให้ได้ยาจำนวนมากและนำไปขายต่อ ขณะที่บุคลากรในโรงพยาบาล การศึกษาของ ป.ป.ท. ในคดีที่ผ่านมา ๆ ระบุว่า เป็นกลุ่มใหญ่ที่มีช่องโหว่ ให้ทุจริตได้หลายรูปแบบ และในทางคดีการพิสูจน์ เพื่อเอาผิดทำได้ยาก หรือไม่ก็กลายเป็นแค่คดีฉ้อโกง ไม่ใช่คดีทุจริต มาถึงกลุ่มใหญ่อีกกลุ่ม คือ “บริษัทขายยา” กรณีจะยกเฉพาะทุจริตที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า กลุ่มบริษัทจำหน่ายยา มีความเกี่ยวพันกับโรงพยาบาล คือ มีการจ่ายค่าคอมมิชชั่น ให้กับโรงพยาบาลและแพทย์ในรูปแบบต่าง ๆ โดยเจ้าหน้าที่ยกตัวอย่างว่า ในปีที่มีการตรวจสอบพบว่า ตัวเลขงบประมาณการรักษาพยาบาลจากทั้งหมด 61,000 ล้านบาท เป็นค่ายากว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินจำนวนมาก แต่จริง ๆ การจะตัดสินใจซื้อยาของแต่ละโรงพยาบาล นั้นมีขั้นตอนในการดำเนินการ โดยโรงพยาบาลรัฐจะผ่านกรรมการกลั่นกรอง ซึ่งเรียกว่า คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด ซึ่งมีทั้งแพทย์จากทุกแผนก และผู้บริหารเพื่อร่วมกันพิจารณาว่า ยาที่แต่ละแผนกเสนอมา ยาใดควรเข้าบัญชียาของโรงพยาบาล ก่อนที่จะไปถึงการคัดเลือกว่าจะซื้อจากบริษัท หรือแหล่งขายใด ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร อดีตรองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า (กรณีจะผลักดันยา) เขาก็ต้องมาคุยกันก่อนว่า แผนกเขาจะเลือกใช้อะไรแต่ต้องเข้าไปในบัญชีก่อน แต่ถ้าบอร์ดแข็งแรง ทั้งผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการฝ่ายกที่ ตรวจ สลากกินแบ่ง ที่ ตรวจ สลากกินแบ่งารแพทย์ และเภสัชกร ถ้าแข็งแรง หากจะดันแต่ไม่มีเหตุผลก็ไม่ผ่านนะ จากคดีในอดีตก็พอจะเห็นภาพว่า “การทุจริตเบิกจ่าย-ยา” มีใครอยู่ตรงไหน ที่สำคัญ ดูเหมือนวิธีการเดิม ๆ แบบนี้ก็ยังเกิดขึ้นอยู่ โดยที่ผู้เสียผลประโยชน์ ก็คือประชาชน อ่านข่าว : เตรียมแจ้งความปมทุจริตยา รพ.ทหารผ่านศึก ผลสอบพบมีมูล "บิ๊กเต่า" จ่อลงพื้นที่ลพบุรี สอบคดีทุจริตยา รพ.ทหารผ่านศึก กรมบัญชีกลางจ่อฟ้องร่วมเรียกค่าเสียหาย "ทุจริตยา"

เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2566 มีรายงานโรงพยาบาลในเขตกาซาถูกโจมตีจนทำให้อาคารทั้งหลังพังถล่มลงมา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงค่ำวันอังคารที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุขซึ่งดำเนินงานโดยกลุ่มฮามาส ระบุว่