วันนี้ (14 ก.ค.2567) กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลา

ในซีรีส์ชื่อดัง Game of Thrones หมาป่าไดร์วูล์ฟ (Aenocyon dirus) เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่และน่าเกรงขาม ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งผู้พิทักษ์และสหายของตระกูลสตาร์ค ในประวัติศาสตร์ธรรมชาติเมื่อ 12,500 ปีก่อน หมาป่าไดร์วูล์ฟเคยมีชีวิตอยู่ในทวีปอเมริกา เป็นนักล่าชั้นนำที่มีร่างกายใหญ่กว่าหมาป่าสมัยใหม่ ด้วยหน้าอกกว้าง กะโหลกที่แข็งแรง และกรามที่สามารถบดกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 เม.ย.2568 บริษัท Colossal Biosciences ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ได้ประกาศความสำเร็จในการนำหมาป่าไดร์วูล์ฟกลับคืนสู่โลก ลูกหมาป่า 3 ตัวที่มีชื่อว่า Romulus, Remus และ Khaleesi ความสำเร็จนี้ได้รับการเผยแพร่ผ่านนิตยสาร Time ซึ่งนำเสนอภาพหมาป่าสีขาวบริสุทธิ์ที่ดูน่าประทับใจบนหน้าปก บริษัทรโปร ทุน น้อย ฝาก 10 รับ 100ะบุว่า ได้ใช้ DNA ที่สกัดจากฟอสซิลของไดร์วูล์ฟ ฟันที่มีอายุ 13,000 ปี และกะโหลกอายุ 72,000 ปี เพื่อเปรียบเทียบกับหมาป่าสีเทา (Canis lupus) ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยทั้ง 2 สายพันธุ์มีความคล้ายคลึงทางพันธุกรรมถึงร้อยละ 99.5 ทีมนักวิจัยได้ดำเนินการตัดต่อพันธุกรรมในยีน 20 ตำแหน่งจากทั้งหมด 19,000 ยีน เพื่อเพิ่มลักษณะเด่นของไดร์วูล์ฟ เช่น ขนหนาสีขาว กะโหลกที่กว้างขึ้น และกรามที่ทรงพลัง ลูกหมาป่าขนสีขาวทั้ง 3 ตัว เกิดจากการโคลนนิง โดยใช้เซลล์ที่ผ่านการตัดต่อฝังลงในไข่ของสุนัขบ้านที่ทำหน้าที่เป็นแม่อุ้มบุญ การคลอดทั้งหมดดำเนินการผ่านการผ่าตัดคลอด เพื่อลดความเสี่ยง ปัจจุบัน ลูกหมาตัวผู้ 2 ตัว เกิดเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567 และตัวเมียเกิดวันที่ 30 ม.ค.2568 ถูกเลี้ยงดูในสถานที่ควบคุมขนาด 2,000 เอเคอร์ หรือประมาณ 5,000 ไร่ ทางตอนเหนือของสหรัฐฯ ซึ่งมีรั้วป้องกันสูง 10 ฟุต ระบบกล้องวงจรปิด โดรน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง การนำหมาป่าไดร์วูล์ฟ (Dire Wolf) กลับคืนสู่โลก ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงและการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ดร. Beth Shapiro หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Colossal Biosciences อธิบายว่า DNA ที่ได้จากฟอสซิลนั้นอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมอย่างมาก เปรียบได้กับ "ชิ้นส่วนที่แตกหักและไม่สมบูรณ์" ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้โคลนนิงได้โดยตรง ทีมงานจึงหันมาใช้เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ โดยวิเคราะห์ DNA โบราณเพื่อระบุส่วนที่กำหนดลักษณะเฉพาะของไดร์วูล์ฟ เช่น ขนสีขาว และ โครงสร้างร่างกายที่แข็งแกร่ง จากนั้นนำข้อมูลนี้ไปปรับปรุงพันธุกรรมของหมาป่าสีเทา กระบวนการเริ่มจากการนำนิวเคลียสออกจากไข่ของสุนัขบ้าน และแทนที่ด้วยนิวเคลียสจากเซลล์หมาป่าสีเทาที่ผ่านการตัดต่อด้วยเทคโนโลยี CRISPR ตัวอ่อนที่ได้ถูกฝังลงในมดลูกของสุนัขพันธุ์ผสมขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นแม่อุ้มบุญ โดยทีมงานได้ดำเนินการฝังตัวอ่อนทั้งหมด 8 ครั้ง ครั้งละประมาณ 45 ตัวอ่อน จนได้ลูกหมา 3 ตัวที่มีสุขภาพดี Matt James หัวหน้าเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ของบริษัท ระบุว่า การได้ลูกหมาทีละตัวในแต่ละรุ่นช่วยให้การจัดการง่ายขึ้น แม้จะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบตามที่คาดหวัง ลูกหมาป่าถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อให้ปรับตัวเข้ากับมนุษย์ได้บ้าง แต่ยังคงรักษาสัญชาตญาณตามธรรมชาติ James กล่าวว่า ลูกหมาป่าตัวผู้ 2 ตัว ที่มีอายุมากกว่านั้น เริ่มสำรวจพื้นที่ในสถานที่เลี้ยงมากขึ้น แต่ยังคงกลับมาที่จุดให้อาหารวันละ 2 ครั้ง ส่วนลูกหมาป่าตัวเมีย ยังแสดงพฤติกรรมระมัดระวังและขี้อาย ซึ่งสอดคล้องกับอายุที่ยังน้อยกว่า เขาคาดว่าเมื่อลูกหมาโตเต็มวัย โดยเฉพาะตัวผู้ที่ระดับฮอร์โมนเพิ่มสูงขึ้น จะแสดงพฤติกรรมที่ชัดเจนขึ้น เช่น การล่าหรือการโต้ตอบทางสังคม Colossal Biosciences ประกาศว่านี่คือ "ความสำเร็จครั้งแรกของโลกในการคืนชีพสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์" อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์อิสระหลายท่านแสดงความเห็นแย้ง ดร. Nic Rawlence นักบรรพพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอทาโก ประเทศนิวซีแลนด์ ระบุว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นไม่ใช่หมาป่าไดร์วูล์ฟที่แท้จริง แต่เป็น "หมาป่าสีเทาที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม" เขาอธิบายว่า DNA โบราณที่ใช้ในการทดลองอยู่ในสภาพที่เสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถนำมาใช้สร้างสำเนาที่สมบูรณ์ได้ ดร. Rawlence กล่าวเพิ่มเติมว่า ทีมงานของ Colossal ใช้ข้อมูลจาก DNA โบราณเพื่อระบุส่วนที่สำคัญ และตัดต่อเข้าไปในพันธุกรรมของหมาป่าสีเทา ส่งผลให้ลูกหมาที่เกิดมามีลักษณะบางประการที่คล้ายไดร์วูล์ฟ เช่น ขนสีขาวและกะโหลกที่ใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระดับพันธุกรรม ลูกหมาเหล่านี้ยังคงเป็นหมาป่าสีเทาถึงร้อยละ 99.9 เขายังชี้ว่า หมาป่าไดร์วูล์ฟและหมาป่าสีเทาแยกสายวิวัฒนาการออกจากกันมานาน 2,500,000 - 6,000,000 ปี และอยู่ในสกุลที่แตกต่างกัน (Aenocyon และ Canis) จึงไม่ควรถือว่านี่คือการฟื้นคืนสายพันธุ์ที่แท้จริง ดร. Philip Seddon นักสัตววิทยาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน เห็นพ้องว่า ลูกหมาที่เกิดขึ้นเป็นเพียง "ลูกผสม" ที่มีลักษณะคล้ายไดร์วูล์ฟ แต่ไม่ใช่สายพันธุ์ดั้งเดิม เขามองว่าการเปลี่ยนแปลงยีนเพียง 20 ตำแหน่งจากทั้งหมด 19,000 ยีนนั้นไม่เพียงพอที่จะเรียกว่านี่คือไดร์วูล์ฟ ในทางกลับกัน ดร. Shapiro จาก Colossal โต้แย้งว่า เป้าหมายของโครงการไม่ใช่การสร้างสำเนาที่เหมือน 100% แต่เป็นการฟื้นฟู "ลักษณะที่ใช้งานได้จริง" ของไดร์วูล์ฟ เช่น รูปลักษณ์และความสามารถ ดร. Shapiro ชี้ว่า การจำแนกสายพันธุ์เป็นเพียงกรอบความคิดของมนุษย์ และความสำเร็จนี้ควรได้รับการยอมรับในฐานะนวัตกรรม Colossal Biosciences ไม่ได้มุ่งหวังเพียงการฟื้นคืนหมาป่าไดร์วูล์ฟเท่านั้น บริษัทมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น โดยวางแผนนำสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น แมมมอธขนยาว (คาดว่าจะสำเร็จในปี 2571) นกโดโด้ และเสือแทสเมเนียน กลับคืนสู่โลก Ben Lamm ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ระบุว่า ความสำเร็จนี้เป็นเพียง "ก้าวแรก" ของเทคโนโลยีการคืนชีพที่ครบวงจร ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาในอนาคตอีกมากมาย บริษัทได้ระดมทุนไปแล้วกว่า 435 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2564 นอกเหนือจากการคืนชีพสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ Colossal ยังมุ่งใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์สายพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ เช่น หมาป่าแดง (red wolf) ซึ่งเป็นหมาป่าที่มีความเสี่ยงสูงสุดในปัจจุบัน บริษัทได้ผลิตลูกหมาป่าแดง 2 รุ่นผ่านการโคลนนิง เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรมและเสริมความแข็งแกร่งให้กับประชากรของสายพันธุ์นี้ James ระบุว่า เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยแนะนำยีนที่มีประโยชน์เข้าไปในประชากร เพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่า หมาป่าไดร์วูล์ฟที่เกิดขึ้นจะถูกนำไปใช้ในระบบนิเวศตามธรรมชาติหรือไม่ ทีมงานระบุว่า เป้าหมายระยะยาวคือการขยายจำนวนลูกหมาให้กลายเป็นฝูง และอาจพิจารณาการปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมในอนาคต เช่นเดียวกับแผนงานสำหรับแมมมอธที่มุ่งหวังให้มีบทบาทในระบบนิเวศแถบอาร์กติก แต่ในขณะนี้ การวิจัยและการดูแลในสถานที่ควบคุมยังคงเป็นจุดสนใจหลัก นักวิทยาศาสตร์บางคนมองว่า เทคโนโลยีของ Colossal มีศักยภาพในการช่วยอนุรักษ์สายพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ดร. Michael Knapp จากมหาวิทยาลัยโอทาโก ชี้ว่า การตัดต่อยีนสามารถกำจัดความบกพร่องทางพันธุกรรมหรือเพิ่มลักษณะที่ช่วยให้สัตว์ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น เช่น การเพิ่มขนหนาเพื่อทนต่ออากาศหนาว อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่า เทคโนโลยีนี้ยังมีข้อจำกัด เพราะยีนที่ถูกตัดต่ออาจมีผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิด และระบบนิเวศที่สัตว์เหล่านี้เคยอาศัยอยู่อาจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ในทางกลับกัน ดร. Rawlence แย้งว่า การคืนชีพเช่นนี้อาจส่งผลเสียต่อความเข้าใจเรื่องการสูญพันธุ์ เขากลัวว่าผู้คนจะเริ่มคิดว่า "การสูญพันธุ์ไม่ใช่เรื่องถาวร" ซึ่งอาจลดความพยายามในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและป้องกันการสูญพันธุ์ของสัตว์ในปัจจุบัน เขาตั้งคำถามว่า หากมนุษย์สามารถ "นำสัตว์กลับมาได้" เราจะเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตได้อย่างไร ? Christopher Preston นักปรัชญาด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยมอนทานา เห็นด้วยว่า การใช้เงินมหาศาลในโครงการนี้ ซึ่ง Colossal ระดมทุนไปแล้วกว่า 435 ล้านดอลลาร์ อาจไม่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับการลงทุนในโครงการอนุรักษ์สัตว์ที่มีชีวิตอยู่ เขายังสงสัยว่า หมาป่าไดร์วูล์ฟที่สร้างขึ้นจะมีบทบาทในระบบนิเวศได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมสมัยใหม่ที่แตกต่างจากยุคน้ำแข็งอย่างสิ้นเชิง ที่มา : CNN, BBC, TIME, Colossal Biosciences อ่านข่าวอื่น : ถึงกำหนด 9 เม.ย. "ทรัมป์" รีดภาษีนานาชาติ ไม่อ่อนข้อ "จีน" ขึ้น 104% รื้อซาก สตง.วันที่ 13 ยังไม่พบผู้สูญหาย นายกฯ สั่ง 90 วันหาสาเหตุ

วันนี้ (6 ก.ย.2565) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รักษาการนายกฯ และในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เคยบ

ในซีรีส์ชื่อดัง Game of Thrones หมาป่าไดร์วูล์ฟ (Aenocyon dirus) เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่และน่าเกรงขาม

นิยายชีวิต โดย : Nashih Nashrullah
เรื่องและภาพโดย : Nashih Nashrullah
[[คลิก]] อ่านเรื่องราว “นิยายชีวิต” ได้ที่นี่..