ภาพการ์ตูนล้อการเมืองของคุณอรุณ วัชระสวัสดิ์ ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 29 มิ.ย.2566 สะท้อนภาพควjoker22thjoker wallet เครดิต ฟรี
วันนี้ (30 ก.ย.2567) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่ เป็นการสมควรตั้งงบประมาณร
แบคทีเรียได้มีการวิวัฒนาการเพื่อให้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะตjoker22thjoker wallet เครดิต ฟรีั้งแต่ครั้งที่เริ่มผลิตยาขึ้นมาเป็นเวลานับศตวรรษ ทุกวันนี้มีเพียงยาแค่กลุ่มเล็ก ๆ เพียงเท่านั้นที่พอจะรักษาโรคบางชนิดได้ แต่ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพของยาเหล่านี้ก็กำลังลดลงอีกด้วย อีรีค บราวน์ (Eric Brown) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ (Mcmaster University) และคณะจากประเทศแคนาดาได้ศึกษาการแสดงผลร่วมของยาปฏิชีวนะกับแบคทีเรียสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นแบคทีเรียที่ดื้อยาโคลิสติน (colistin) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะทางเลือกสุดท้ายที่ถูกใช้ในการรักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ดื้อยาหลายขนาน อีกกลุ่มเป็นแบคทีเรียที่ไม่ดื้อยา จากการทดลองพบว่า แบคทีเรียที่ดื้อยาโคลิสตินจะผลิตไบโอติน (biotin) หรือวิตามินบี 7 ออกมา นักวิจัยจึงได้ลองใช้ยาโคลิสตินร่วมกับยาที่ขัดขวางการผลิตไบโอตินจากแบคทีเรีย และเทียบประสิทธิผล (efficacy) กับแบคทีเรียทั้ง 2 กลุ่มนี้โดยดูจากค่า FIC (fractional inhibitory concentration) ซึ่งยิ่งมีค่า FIC ที่น้อยเท่าไร ประสิทธิผลก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น โดยจะมีช่วงค่าอยู่ที่ 0-1 จากการวัดค่า FIC พบว่ากลุ่มของแบคทีเรียที่ดื้อยาโคลิสตินจะมีค่า FIC อยู่ที่ 0.3 ในขณะที่กลุ่มของแบคทีเรียไม่ดื้อยาจะอยู่ที่ 0.5 จากค่าดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการลดการผลิตไบโอตินจะทำให้แบคทีเรียอ่อนแอลงต่อยาปฏิชีวนะ แต่จะมีผลแค่กับแบคทีเรียที่ดื้อยาอยู่แล้วเท่านั้น "ไบโอติน มีความจำเป็นในแบคทีเรียด้วยเหตุผลอย่างหนึ่ง นั่นคือการทำหน้าที่เป็นสารอนินทรีย์ที่จำเป็นในการทำงานของเอนไซม์หรือโคแฟกเตอร์ (co-factor) สำหรับผลิตกรดไขมัน" บราวน์กล่าว ทางทีมวิจัยจึงได้ศึกษาต่อด้วยการนำไปทดสอบกับหนูทดลอง 18 ตัว โดยทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย Klebsiella pneumoniae ซึ่งก่อให้เกิดโรคปอดบวม (pneumonia) และมีสถานะดื้อยาโคลิสตินอยู่ จากนั้นก็แบ่งหนูออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกทดลองกับยาโคลิสตินเพียงอย่างเดียว อีกกลุ่มทดลองกับยาโคลิสตินและยาที่ยับยั้งการสร้างกรดไขมัน พบว่าหนูที่ได้รับยาทั้งสองชนิดจะมีจำนวนแบคทีเรียน้อยกว่าถึง 99.9% แสดงให้เห็นว่าการยับยั้งการผลิตกรดไขมันจะสามารถเอาชนะการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียได้ อย่างไรก็ตาม ยาที่ยับยั้งการผลิตกรดไขมันก็ยังไม่สามารถเอามาใช้กับมนุษย์ได้ ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดที่สำคัญ แต่ถึงอย่างนั้น การค้นพบในครั้งนี้ทำให้เราเข้าใจกลไกการดื้อยาของเชื้อมากขึ้น นำไปสู่การพัฒนาวิธีรักษาเพื่อต่อสู้กับเชื้อดื้อยาต่อไป ที่มาข้อมูล: New Scientist“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
วันนี้ (3 มิ.ย.2568) กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิด
joker22thjoker wallet เครดิต ฟรี -slotxo ฟรี เครดิต ไม่ ต้อง ฝาก ไม่ ต้อง แชร์ slotxo ฟรี เครดิต ไม่ ต้อง ฝาก ไม่ ต้อง แชร์, ตรวจ สลาก หวย, la พนันราคา ไหล บอล vip วัน นี้
ภาพการ์ตูนล้อการเมืองของคุณอรุณ วัชระสวัสดิ์ ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 29 มิ.ย.2566 สะท้อนภาพควjoker22thjoker wallet เครดิต ฟรี
วันนี้ (30 ก.ย.2567) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่ เป็นการสมควรตั้งงบประมาณร
แบคทีเรียได้มีการวิวัฒนาการเพื่อให้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะตjoker22thjoker wallet เครดิต ฟรีั้งแต่ครั้งที่เริ่มผลิตยาขึ้นมาเป็นเวลานับศตวรรษ ทุกวันนี้มีเพียงยาแค่กลุ่มเล็ก ๆ เพียงเท่านั้นที่พอจะรักษาโรคบางชนิดได้ แต่ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพของยาเหล่านี้ก็กำลังลดลงอีกด้วย อีรีค บราวน์ (Eric Brown) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ (Mcmaster University) และคณะจากประเทศแคนาดาได้ศึกษาการแสดงผลร่วมของยาปฏิชีวนะกับแบคทีเรียสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นแบคทีเรียที่ดื้อยาโคลิสติน (colistin) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะทางเลือกสุดท้ายที่ถูกใช้ในการรักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ดื้อยาหลายขนาน อีกกลุ่มเป็นแบคทีเรียที่ไม่ดื้อยา จากการทดลองพบว่า แบคทีเรียที่ดื้อยาโคลิสตินจะผลิตไบโอติน (biotin) หรือวิตามินบี 7 ออกมา นักวิจัยจึงได้ลองใช้ยาโคลิสตินร่วมกับยาที่ขัดขวางการผลิตไบโอตินจากแบคทีเรีย และเทียบประสิทธิผล (efficacy) กับแบคทีเรียทั้ง 2 กลุ่มนี้โดยดูจากค่า FIC (fractional inhibitory concentration) ซึ่งยิ่งมีค่า FIC ที่น้อยเท่าไร ประสิทธิผลก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น โดยจะมีช่วงค่าอยู่ที่ 0-1 จากการวัดค่า FIC พบว่ากลุ่มของแบคทีเรียที่ดื้อยาโคลิสตินจะมีค่า FIC อยู่ที่ 0.3 ในขณะที่กลุ่มของแบคทีเรียไม่ดื้อยาจะอยู่ที่ 0.5 จากค่าดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการลดการผลิตไบโอตินจะทำให้แบคทีเรียอ่อนแอลงต่อยาปฏิชีวนะ แต่จะมีผลแค่กับแบคทีเรียที่ดื้อยาอยู่แล้วเท่านั้น "ไบโอติน มีความจำเป็นในแบคทีเรียด้วยเหตุผลอย่างหนึ่ง นั่นคือการทำหน้าที่เป็นสารอนินทรีย์ที่จำเป็นในการทำงานของเอนไซม์หรือโคแฟกเตอร์ (co-factor) สำหรับผลิตกรดไขมัน" บราวน์กล่าว ทางทีมวิจัยจึงได้ศึกษาต่อด้วยการนำไปทดสอบกับหนูทดลอง 18 ตัว โดยทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย Klebsiella pneumoniae ซึ่งก่อให้เกิดโรคปอดบวม (pneumonia) และมีสถานะดื้อยาโคลิสตินอยู่ จากนั้นก็แบ่งหนูออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกทดลองกับยาโคลิสตินเพียงอย่างเดียว อีกกลุ่มทดลองกับยาโคลิสตินและยาที่ยับยั้งการสร้างกรดไขมัน พบว่าหนูที่ได้รับยาทั้งสองชนิดจะมีจำนวนแบคทีเรียน้อยกว่าถึง 99.9% แสดงให้เห็นว่าการยับยั้งการผลิตกรดไขมันจะสามารถเอาชนะการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียได้ อย่างไรก็ตาม ยาที่ยับยั้งการผลิตกรดไขมันก็ยังไม่สามารถเอามาใช้กับมนุษย์ได้ ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดที่สำคัญ แต่ถึงอย่างนั้น การค้นพบในครั้งนี้ทำให้เราเข้าใจกลไกการดื้อยาของเชื้อมากขึ้น นำไปสู่การพัฒนาวิธีรักษาเพื่อต่อสู้กับเชื้อดื้อยาต่อไป ที่มาข้อมูล: New Scientist“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
วันนี้ (3 มิ.ย.2568) กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิด