Home
|
pg ฝาก ไม่มี ขั้น ต่ำpg เว็บ ไหน แตก ดี

เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าจีน

pg ฝาก ไม่มี ขั้น ต่ำpg เว็บ ไหน แตก ดี

วันนี้ (26 ก.ค.2565) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานว่า ตามที่ปรากฏว่า บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด (Zipmex) ยังไม่ได้เปิดให้มีการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นไปตามหลักเก

วันนี้ (18 ก.พ.2565) ในการอภิปรายทั่วไป เวลา 12.21 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงประเด็นสินค้าราคาแพง ว่า ต้นเหตุสำคัญเกิดจากราคาพลังงานสูงขึ้น ซึ่งน้ำมันเป็นปัจจัย

ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยขึ้นสู่อำนาจเป็นแกนนำรัฐบาลผสมในเดือน ส.ค.2566 ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี 2 คน คือ นายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นโยบายที่ถูกผลักดันอย่างเด่นชัดคือ การแจกเงินและการแก้ปัญหาหนี้สิน ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางประชานิยมที่พรรคยึดถือมาตั้งแต่สมัย นายทักษิณ ชินวัตร ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2567 โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท และมาตรการพักหนี้เกษตรกร ถูกนำเสนอเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ท่ามกลางบริบทที่หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงถึง 16.4 ล้านล้านบาท และการเติบโตของ GDP ยังไม่ถึงเป้าร้อยละ 3 การใช้ทรัพยากรนับแสนล้านบาทในระยะเวลาอันสั้น จึงจุดประกายคำถามถึงประสิทธิภาพและความยั่งยืนของนโยบายเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายดังกล่าว เผยให้เห็นจุดอ่อนทั้งในแง่การวางแผนและผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แม้ข้อมูลจากกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะแสดงถึงความพยายามช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและเกษตรกร แต่การขาดเป้าหมายเชิงโครงสร้าง เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือการพัฒนาทักษะแรงงาน ทำให้หลายฝ่ายมองว่า นี่อาจเป็นเพียงการซื้อเวลา มากกว่าการแก้ปัญหาที่รากเหง้า หนี้สาธารณะที่สูงเกินร้อยละ 62 ของ GDP ประเทศ และงบประมาณที่ผูกพันต่อเนื่อง ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังในอนาคต ชวนมองภาพใหญ่นโยบายแจกเงินและนโยบายหนี้ เพื่อให้เห็นภาพรวมและประเมินผลกระทบอย่างรอบด้าน 1.โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท (เฟส 1-4) เฟส 1 : เริ่ม 25 ก.ย.2567 แจกเงินสด 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบาง 14.55 ล้านคน (ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 12.4 ล้านคน และผู้พิการ 2.15 ล้านคน) เงินโอนผ่านบัญชีธนาคารหรือพร้อมเพย์ ไม่มีเงื่อนไขการใช้จ่าย เดิมตั้งใจใช้ระบบดิจิทัลวอลเล็ตผ่าน Blockchain แต่ปรับเป็นเงินสดเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม งบประมาณ 145,552.4 ล้านบาท (งบเพิ่มเติม 2567 : 122,000 ล้านบาท + งบกลางฉุกเฉิน : 23,552.4 ล้านบาท) เฟส 2 : เริ่ม ม.ค.2568 แจกเงินให้ผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ครอบคลุม 4-5 ล้านคน เน้นช่วยเหลือช่วงต้นปีที่มีค่าใช้จ่ายสูง ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 40,000-50,000 ล้านบาท เฟส 3 : อนุมัติโดย ครม. เมื่อ 10 มี.ค.2568 แจกเงินให้กลุ่มอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน (จากฐานข้อมูลสำนักบริหารการทะเบียน) คาดเริ่มจ่าย เม.ย.2568 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายก่อนสงกรานต์ ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 27,000 ล้านบาท เฟส 4 : วางแผนแจกกลุ่มอายุ 21-59 ปีที่มีรายได้และเงินฝากตามเกณฑ์เดียวกัน คาดครอบคลุม 30-35 ล้านคน (หักกลุ่มที่ได้ไปแล้วและไม่เข้าเกณฑ์) รัฐบาลระบุอาจกลับมาใช้ระบบดิจิทัpg ฝาก ไม่มี ขั้น ต่ำpg เว็บ ไหน แตก ดีลวอลเล็ต ประเมินจากจำนวนคน คาดใช้เงินกู้หรืองบ 2569 จำนวน 300,000-350,000 ล้านบาท คาดชง ครม. ก.ย.2568 ผูกพันถึง 2569 รวมงบประมาณทั้งหมด : 512,552.4-572,552.4 ล้านบาท 2. มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร จ่ายเงินช่วยเหลือเฉพาะเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยตรงไร่ละ 1,000 บาท คนละไม่เกิน 10 ไร่ วงเงินงบประมาณ 2,867.23 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรปรับโครงสร้างการผลิตให้ตรงกับตลาด เป้าหมายให้เกษตรกรวางแผนปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังบางส่วนไปปลูกพืชอื่นที่ให้มูลค่าสูงขึ้น หรือปรับเปลี่ยนพันธุ์ข้าวที่เพาะปลูกให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ระยะเวลาและงบผูกพันดำเนินการในปี 2567 3. ค่าแรง 600 บาทและเงินเดือน ป.ตรี 25,000 นโยบายนี้ถูกเสนอครั้งแรกโดยพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 เป้าหมายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจากระดับปัจจุบัน เป็น 600 บาท/วัน และปรับเงินเดือนเริ่มต้นสำหรับผู้จบปริญญาตรีจากระดับเฉลี่ยปัจจุบัน เป็น 25,000 บาท/เดือน ภายในปี 2570 เป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ให้แรงงานและนักศึกษาจบใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านกำลังซื้อที่สูงขึ้น สำหรับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท กลุ่มเป้าหมายคือแรงงานในระบบประมาณ 15-20 ล้านคน (จากจำนวนแรงงานทั้งหมด 39 ล้านคน ตามสำนักงานสถิติแห่งชาติ 2567) คาดหากปรับเพิ่มจากวันละ 400 เป็น 600 บาท จะต้องเพิ่มงบประมาณ 1,248,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งแหล่งงบประมาณไม่ใช่งบรัฐโดยตรง แต่เป็นต้นทุนที่นายจ้างต้องรับผิดชอบ รัฐอาจสนับสนุนผ่านการลดหย่อนภาษีหรือเงินอุดหนุนบางส่วน ซึ่งยังไม่ระบุชัดเจน ส่วนนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท กลุ่มเป้าหมาย คือ ข้าราชการระดับเริ่มต้นและพนักงานเอกชนที่จบปริญญาตรี คาดครอบคลุม 1-2 ล้านคน คาดหากปรับเงินเดือนจาก 18,000 บาทซึ่งเป็นเงินเดือนเริ่มต้นข้าราชการปัจจุบัน เป็น 25,000 บาท จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มอีก 168,000 ล้านบาท/ปี ขณะที่แหล่งงบประมาณ คิดจาก งบประมาณแผ่นดิน สำหรับข้าราชการ และการผลักดันผ่านนโยบายเอกชน เช่น ปรับโครงสร้างภาษี 4. บ้านเพื่อคนไทย โครงการ "บ้านเพื่อคนไทย" เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มุ่งช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยมีงบประมาณสำหรับระยะแรกในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยจำนวน 5,700-5,800 ยูนิต ใน 4 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ บางซื่อ ธนบุรี เชียงราก และเชียงใหม่ บนพื้นที่ของการรถไฟ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระกำหนดไว้ที่ประมาณ 4,000 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 30 ปี พร้อมสิทธิอยู่อาศัย 99 ปี อย่างไรก็ตาม งบประมาณรวมทั้งหมดยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่ชัดเจนในขั้นตอนนี้ แต่คาดการณ์ว่าต้องสอดคล้องกับจำนวนผู้ลงทะเบียนที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งมีจำนวนถึง 270,000 คน ด้านระยะเวลาผูกพันและกลุ่มเป้าหมาย โครงการนี้มีแผนเริ่มเปิดจองเฟสแรกในวันที่ 20 ม.ค.2568 และคาดว่าจะสามารถส่งมอบบ้านล็อตแรกได้ในช่วงปลายปี 2569 ถึงต้นปี 2570 โดยระยะเวลาก่อสร้างและดำเนินการในเฟสแรกจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี กลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้มีรายได้ไม่เกิน 50,000 บาท/เดือน โดยเฉพาะกลุ่มวัยเริ่มทำงานที่ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง โครงการนี้ยังประสานนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าถึงการคมนาคมที่สะดวกและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทำให้ตอบโจทย์ทั้งด้านที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างครบวงจร 1. นโยบายซื้อหนี้ เป็นแนวคิดล่าสุดที่ถูกเสนอโดยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มุ่งเน้นการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของประชาชน โดยให้รัฐเข้าไปซื้อหนี้จากระบบธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่น ๆ เพื่อปลดภาระหนี้ให้กับประชาชน โดยเฉพาะหนี้เสีย (NPLs) และหนี้ค้างชำระที่มีมูลค่าสูง งบประมาณสำหรับนโยบายนี้ยังไม่มีการระบุตัวเลขที่ชัดเจนในขั้นต้น เนื่องจากแนวคิดนี้เสนอให้เอกชนเข้ามาลงทุนในหนี้เหล่านี้ โดยรัฐจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจาและอำนวยความสะดวก แทนการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินโดยตรง ซึ่งอาจช่วยลดภาระทางการคลังของรัฐในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การดำเนินการจริงจะต้องมีการประเมินมูลค่าหนี้ทั้งหมดที่อยู่ในระบบ ซึ่งคาดว่ามีมูลค่าหลายล้านล้านบาท โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่ปัจจุบันสูงถึงร้อยละ 90 ของ GDP ประเทศ สำหรับระยะเวลาผูกพันและกลุ่มเป้าหมาย นโยบายนี้ยังเป็นเพียงแค่แนวคิดที่นายทักษิณเพียงพูดออกมาเท่านั้น ไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอนกำหนดไว้ คาดว่าหากเกิดขึ้นจริง น่าจะเป็นโครงการระยะยาวที่ต้องใช้เวลาในการเจรจากับธนาคารและเอกชน รวมถึงการออกแบบกลไกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด กลุ่มเป้าหมายหลักคือประชาชนที่มีหนี้ค้างชำระในระบบธนาคาร โดยเฉพาะผู้ที่ถูกบันทึกในเครดิตบูโรและไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้ เช่น เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งอาจครอบคลุมถึงหลายล้านครัวเรือนทั่วประเทศ เป้าหมายคือการลบประวัติหนี้เสียออกจากเครดิตบูโร เพื่อให้กลุ่มนี้กลับมามีโอกาสทางการ (กู้) เงินใหม่ 2. ลดหย่อนหนี้ กยศ. มาตรการลดหย่อนหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่พรรคเพื่อไทย สมัยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ได้ผลักดันเพื่อแก้ปัญหาหนี้หนี้การศึกษาที่ส่งผลกระทบต่อคนรุ่นใหม่ ด้านงบประมาณ มาตรการนี้ไม่มีการจัดสรรเงินใหม่จากรัฐโดยตรง แต่ใช้กลไกภายในกองทุนผ่านการลดดอกเบี้ยจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 ต่อปี ลดเงินต้นร้อยละ 5-10 สำหรับผู้ปิดบัญชี และลดเบี้ยปรับสูงสุดร้อยละ 100 โดยข้อมูลพรรคเพื่อไทย ปี 2567 ระบุว่าสามารถลดยอดหนี้รวมได้กว่า 5.6 หมื่นล้านบาท จากการปรับโครงสร้างหนี้ 3.5 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การที่ กยศ. ขอวงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2568 เพื่อเติมสภาพคล่อง แสดงถึงความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นหากรายได้จากการชำระหนี้ลดลง ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องเผชิญคำถามเรื่องความยั่งยืนของนโยบายนี้ โดยเฉพาะเมื่องบประมาณรัฐถูกกดดันจากโครงการอื่น เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ในแง่ระยะเวลาผูกพันและกลุ่มเป้าหมาย มาตรการนี้มีกรอบเวลาชัดเจน เช่น ส่วนลดร้อยละ 5-10 สำหรับการปิดบัญชีระหว่าง 1 มี.ค. - 31 พ.ค.2568 และการปรับโครงสร้างหนี้ใน 33 จังหวัดตั้งแต่ ม.ค. - มิ.ย.2568 ซึ่งขยายระยะผ่อนชำระสูงสุด 15 ปี กลุ่มเป้าหมายครอบคลุมผู้กู้ยืม 3.58 ล้านรายที่อยู่ระหว่างชำระหนี้ 1.36 ล้านรายในช่วงปลอดหนี้ และกลุ่มหนี้เสีย 3.1 หมื่นราย มูลค่า 2,800 ล้านบาท พรรคเพื่อไทยมองว่านี่คือการ "ปลดพันธนาการ" เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้กู้ยืมกลับมามีอิสรภาพทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงอยู่ที่การขาดวินัยชำระหนี้ในระยะยาว ซึ่งอาจกระทบวงเงินหมุนเวียนของ กยศ. หากพรรคเพื่อไทยไม่สามารถผลักดันมาตรการควบคุมและการให้ความรู้ทางการเงินควบคู่ไปด้วย มาตรการนี้อาจกลายเป็นเพียงการบรรเทาชั่วคราว แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนตามที่พรรคตั้งใจไว้ 3. คุณสู้ เราช่วย มาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" เป็นนโยบายช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ดำเนินการร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินต่าง ๆ เป้าหมายหลักเพื่อลดภาระทางการเงินของประชาชนที่มีภาระหนี้สินเชื่อบ้านและรถยนต์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์สำคัญต่อการดำรงชีวิตและการทำงานของคนส่วนใหญ่ โครงการนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์สินจากปัญหาทางเศรษฐกิจและภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยให้โอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้และลดค่างวดชำระในช่วงระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้ประชาชนสามารถบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐบาลกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับลูกหนี้ที่ต้องการเข้าร่วม ได้แก่ สินเชื่อบ้านหรือบ้านแลกเงินที่มียอดหนี้ไม่เกิน 5,000,000 บาท และสินเชื่อเช่าซื้อหรือจำนำทะเบียนรถยนต์ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 800,000 บาท มาตรการนี้ครอบคลุมระยะเวลา 3 ปี โดยกำหนดให้ลูกหนี้ชำระค่างวดขั้นต่ำในอัตราที่ลดลง คือ ปีแรกชำระเพียงร้อยละ 50 ของค่างวดเดิม ปีที่ 2 เพิ่มเป็นร้อยละ 70 และปีที่ 3 เป็นร้อยละ 9 ของค่างวดเดิม เงินที่ชำระทั้งหมดจะถูกนำไปตัดเงินต้น ขณะที่ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะถูกพักชำระไว้ และหากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ดอกเบี้ยที่ถูกพักไว้จะได้รับการยกเว้นทั้งหมด ในแง่ของงบประมาณ แม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัด แต่คาดว่ามาตรการนี้จะช่วยเหลือลูกหนี้กว่า 2 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าอาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการสนับสนุนมาตรการ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิประโยชน์ด้านดอกเบี้ยและการลดภาระดอกเบี้ยสะสมของลูกหนี้ แม้ว่ามาตรการนี้จะมีข้อดีในการช่วยเหลือประชาชนที่มีภาระหนี้หนัก แต่ก็ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาว เช่น ธนาคารต้องรองรับภาระดอกเบี้ยที่ไม่ได้รับการชำระเต็มจำนวนในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจกระทบต่อสภาพคล่องของสถาบันการเงินบางแห่ง รวมถึงความเสี่ยงที่ลูกหนี้บางรายอาจไม่สามารถกลับมาชำระหนี้เต็มจำนวนได้หลังสิ้นสุดมาตรการ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาลเพื่อไทย ตั้งแต่การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มาตรการช่วยเกษตรกร ปรับค่าแรงและเงินเดือน ไปจนถึงโครงการบ้านเพื่อคนไทย และนโยบายหนี้ เช่น การซื้อหนี้ ลดหย่อนหนี้ กยศ. และ คุณสู้ เราช่วย เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน สะท้อนเจตนารมณ์ประชานิยมที่หวังบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนท่ามกลางหนี้ครัวเรือน 16.4 ล้านล้านบาท และ GDP ที่เติบโตไม่ถึงร้อยละ 3 แต่ก็เผยจุดอ่อนสำคัญในแง่ความยั่งยืนและประสิทธิภาพ ด้วยงบประมาณรวมกว่า 500,000 - 600,000 ล้านบาทในระยะสั้น และหนี้สาธารณะที่สูงเกินร้อยละ 62 ของ GDP ประเทศ อนาคตของนโยบายเหล่านี้อาจนำไปสู่ 2 ฉากทัศน์ คือ หากรัฐบาลสามารถผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะแรงงาน และบริหารหนี้อย่างมีวินัย อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน แต่ หากยังเน้นการแจกเงินและพักหนี้โดยขาดกลไกแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ความเสี่ยงต่อวิกฤตการคลังจะเพิ่มสูงขึ้น สถาบันการเงินอาจเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และประชาชนอาจติดอยู่ในวังวนหนี้ต่อไป สะท้อนว่าการซื้อเวลาด้วยวิธีประชานิยมอาจไม่เพียงพอต่อการรับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจในระยะยาว รวบรวมจาก : แถลงการณ์นายกฯ แพทองธาร, กระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, กยศ., กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อ่านข่าวอื่น : กมธ.เผย ร่าง"กม.คุมเหล้า" หวังเพิ่มความรับผิดชอบร้านค้า "เมย์ วาสนา" ส่งทนายดำเนินคดี "ดิว อริสรา" ฐานยักยอกทรัพย์

ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยขึ้นสู่อำนาจเป็นแกนนำรัฐบาลผสมในเดือน ส.ค.2566 ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี 2 คน คื

วันนี้ (18 ต.ค.2564) เวลา 13.00 น. นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตรวจเยี่ยมการฉีดว

วันนี้ (23 ก.พ.2568) กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลาง ถึง

ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยขึ้นสู่อำนาจเป็นแกนนำรัฐบาลผสมในเดือน ส.ค.2566 ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี 2 คน คือ นายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นโยบายที่ถูกผลักดันอย่างเด่นชัดคือ การแจกเงินและการแก้ปัญหาหนี้สิน ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางประชานิยมที่พรรคยึดถือมาตั้งแต่สมัย นายทักษิณ ชินวัตร ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2567 โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท และมาตรการพักหนี้เกษตรกร ถูกนำเสนอเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ท่ามกลางบริบทที่หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงถึง 16.4 ล้านล้านบาท และการเติบโตของ GDP ยังไม่ถึงเป้าร้อยละ 3 การใช้ทรัพยากรนับแสนล้านบาทในระยะเวลาอันสั้น จึงจุดประกายคำถามถึงประสิทธิภาพและความยั่งยืนของนโยบายเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายดังกล่าว เผยให้เห็นจุดอ่อนทั้งในแง่การวางแผนและผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แม้ข้อมูลจากกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะแสดงถึงความพยายามช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและเกษตรกร แต่การขาดเป้าหมายเชิงโครงสร้าง เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือการพัฒนาทักษะแรงงาน ทำให้หลายฝ่ายมองว่า นี่อาจเป็นเพียงการซื้อเวลา มากกว่าการแก้ปัญหาที่รากเหง้า หนี้สาธารณะที่สูงเกินร้อยละ 62 ของ GDP ประเทศ และงบประมาณที่ผูกพันต่อเนื่อง ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังในอนาคต ชวนมองภาพใหญ่นโยบายแจกเงินและนโยบายหนี้ เพื่อให้เห็นภาพรวมและประเมินผลกระทบอย่างรอบด้าน 1.โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท (เฟส 1-4) เฟส 1 : เริ่ม 25 ก.ย.2567 แจกเงินสด 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบาง 14.55 ล้านคน (ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 12.4 ล้านคน และผู้พิการ 2.15 ล้านคน) เงินโอนผ่านบัญชีธนาคารหรือพร้อมเพย์ ไม่มีเงื่อนไขการใช้จ่าย เดิมตั้งใจใช้ระบบดิจิทัลวอลเล็ตผ่าน Blockchain แต่ปรับเป็นเงินสดเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม งบประมาณ 145,552.4 ล้านบาท (งบเพิ่มเติม 2567 : 122,000 ล้านบาท + งบกลางฉุกเฉิน : 23,552.4 ล้านบาท) เฟส 2 : เริ่ม ม.ค.2568 แจกเงินให้ผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ครอบคลุม 4-5 ล้านคน เน้นช่วยเหลือช่วงต้นปีที่มีค่าใช้จ่ายสูง ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 40,000-50,000 ล้านบาท เฟส 3 : อนุมัติโดย ครม. เมื่อ 10 มี.ค.2568 แจกเงินให้กลุ่มอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน (จากฐานข้อมูลสำนักบริหารการทะเบียน) คาดเริ่มจ่าย เม.ย.2568 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายก่อนสงกรานต์ ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 27,000 ล้านบาท เฟส 4 : วางแผนแจกกลุ่มอายุ 21-59 ปีที่มีรายได้และเงินฝากตามเกณฑ์เดียวกัน คาดครอบคลุม 30-35 ล้านคน (หักกลุ่มที่ได้ไปแล้วและไม่เข้าเกณฑ์) รัฐบาลระบุอาจกลับมาใช้ระบบดิจิทัpg ฝาก ไม่มี ขั้น ต่ำpg เว็บ ไหน แตก ดีลวอลเล็ต ประเมินจากจำนวนคน คาดใช้เงินกู้หรืองบ 2569 จำนวน 300,000-350,000 ล้านบาท คาดชง ครม. ก.ย.2568 ผูกพันถึง 2569 รวมงบประมาณทั้งหมด : 512,552.4-572,552.4 ล้านบาท 2. มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร จ่ายเงินช่วยเหลือเฉพาะเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยตรงไร่ละ 1,000 บาท คนละไม่เกิน 10 ไร่ วงเงินงบประมาณ 2,867.23 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรปรับโครงสร้างการผลิตให้ตรงกับตลาด เป้าหมายให้เกษตรกรวางแผนปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังบางส่วนไปปลูกพืชอื่นที่ให้มูลค่าสูงขึ้น หรือปรับเปลี่ยนพันธุ์ข้าวที่เพาะปลูกให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ระยะเวลาและงบผูกพันดำเนินการในปี 2567 3. ค่าแรง 600 บาทและเงินเดือน ป.ตรี 25,000 นโยบายนี้ถูกเสนอครั้งแรกโดยพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 เป้าหมายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจากระดับปัจจุบัน เป็น 600 บาท/วัน และปรับเงินเดือนเริ่มต้นสำหรับผู้จบปริญญาตรีจากระดับเฉลี่ยปัจจุบัน เป็น 25,000 บาท/เดือน ภายในปี 2570 เป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ให้แรงงานและนักศึกษาจบใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านกำลังซื้อที่สูงขึ้น สำหรับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท กลุ่มเป้าหมายคือแรงงานในระบบประมาณ 15-20 ล้านคน (จากจำนวนแรงงานทั้งหมด 39 ล้านคน ตามสำนักงานสถิติแห่งชาติ 2567) คาดหากปรับเพิ่มจากวันละ 400 เป็น 600 บาท จะต้องเพิ่มงบประมาณ 1,248,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งแหล่งงบประมาณไม่ใช่งบรัฐโดยตรง แต่เป็นต้นทุนที่นายจ้างต้องรับผิดชอบ รัฐอาจสนับสนุนผ่านการลดหย่อนภาษีหรือเงินอุดหนุนบางส่วน ซึ่งยังไม่ระบุชัดเจน ส่วนนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท กลุ่มเป้าหมาย คือ ข้าราชการระดับเริ่มต้นและพนักงานเอกชนที่จบปริญญาตรี คาดครอบคลุม 1-2 ล้านคน คาดหากปรับเงินเดือนจาก 18,000 บาทซึ่งเป็นเงินเดือนเริ่มต้นข้าราชการปัจจุบัน เป็น 25,000 บาท จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มอีก 168,000 ล้านบาท/ปี ขณะที่แหล่งงบประมาณ คิดจาก งบประมาณแผ่นดิน สำหรับข้าราชการ และการผลักดันผ่านนโยบายเอกชน เช่น ปรับโครงสร้างภาษี 4. บ้านเพื่อคนไทย โครงการ "บ้านเพื่อคนไทย" เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มุ่งช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยมีงบประมาณสำหรับระยะแรกในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยจำนวน 5,700-5,800 ยูนิต ใน 4 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ บางซื่อ ธนบุรี เชียงราก และเชียงใหม่ บนพื้นที่ของการรถไฟ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระกำหนดไว้ที่ประมาณ 4,000 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 30 ปี พร้อมสิทธิอยู่อาศัย 99 ปี อย่างไรก็ตาม งบประมาณรวมทั้งหมดยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่ชัดเจนในขั้นตอนนี้ แต่คาดการณ์ว่าต้องสอดคล้องกับจำนวนผู้ลงทะเบียนที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งมีจำนวนถึง 270,000 คน ด้านระยะเวลาผูกพันและกลุ่มเป้าหมาย โครงการนี้มีแผนเริ่มเปิดจองเฟสแรกในวันที่ 20 ม.ค.2568 และคาดว่าจะสามารถส่งมอบบ้านล็อตแรกได้ในช่วงปลายปี 2569 ถึงต้นปี 2570 โดยระยะเวลาก่อสร้างและดำเนินการในเฟสแรกจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี กลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้มีรายได้ไม่เกิน 50,000 บาท/เดือน โดยเฉพาะกลุ่มวัยเริ่มทำงานที่ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง โครงการนี้ยังประสานนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าถึงการคมนาคมที่สะดวกและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทำให้ตอบโจทย์ทั้งด้านที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างครบวงจร 1. นโยบายซื้อหนี้ เป็นแนวคิดล่าสุดที่ถูกเสนอโดยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มุ่งเน้นการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของประชาชน โดยให้รัฐเข้าไปซื้อหนี้จากระบบธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่น ๆ เพื่อปลดภาระหนี้ให้กับประชาชน โดยเฉพาะหนี้เสีย (NPLs) และหนี้ค้างชำระที่มีมูลค่าสูง งบประมาณสำหรับนโยบายนี้ยังไม่มีการระบุตัวเลขที่ชัดเจนในขั้นต้น เนื่องจากแนวคิดนี้เสนอให้เอกชนเข้ามาลงทุนในหนี้เหล่านี้ โดยรัฐจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจาและอำนวยความสะดวก แทนการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินโดยตรง ซึ่งอาจช่วยลดภาระทางการคลังของรัฐในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การดำเนินการจริงจะต้องมีการประเมินมูลค่าหนี้ทั้งหมดที่อยู่ในระบบ ซึ่งคาดว่ามีมูลค่าหลายล้านล้านบาท โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่ปัจจุบันสูงถึงร้อยละ 90 ของ GDP ประเทศ สำหรับระยะเวลาผูกพันและกลุ่มเป้าหมาย นโยบายนี้ยังเป็นเพียงแค่แนวคิดที่นายทักษิณเพียงพูดออกมาเท่านั้น ไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอนกำหนดไว้ คาดว่าหากเกิดขึ้นจริง น่าจะเป็นโครงการระยะยาวที่ต้องใช้เวลาในการเจรจากับธนาคารและเอกชน รวมถึงการออกแบบกลไกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด กลุ่มเป้าหมายหลักคือประชาชนที่มีหนี้ค้างชำระในระบบธนาคาร โดยเฉพาะผู้ที่ถูกบันทึกในเครดิตบูโรและไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้ เช่น เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งอาจครอบคลุมถึงหลายล้านครัวเรือนทั่วประเทศ เป้าหมายคือการลบประวัติหนี้เสียออกจากเครดิตบูโร เพื่อให้กลุ่มนี้กลับมามีโอกาสทางการ (กู้) เงินใหม่ 2. ลดหย่อนหนี้ กยศ. มาตรการลดหย่อนหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่พรรคเพื่อไทย สมัยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ได้ผลักดันเพื่อแก้ปัญหาหนี้หนี้การศึกษาที่ส่งผลกระทบต่อคนรุ่นใหม่ ด้านงบประมาณ มาตรการนี้ไม่มีการจัดสรรเงินใหม่จากรัฐโดยตรง แต่ใช้กลไกภายในกองทุนผ่านการลดดอกเบี้ยจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 ต่อปี ลดเงินต้นร้อยละ 5-10 สำหรับผู้ปิดบัญชี และลดเบี้ยปรับสูงสุดร้อยละ 100 โดยข้อมูลพรรคเพื่อไทย ปี 2567 ระบุว่าสามารถลดยอดหนี้รวมได้กว่า 5.6 หมื่นล้านบาท จากการปรับโครงสร้างหนี้ 3.5 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การที่ กยศ. ขอวงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2568 เพื่อเติมสภาพคล่อง แสดงถึงความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นหากรายได้จากการชำระหนี้ลดลง ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องเผชิญคำถามเรื่องความยั่งยืนของนโยบายนี้ โดยเฉพาะเมื่องบประมาณรัฐถูกกดดันจากโครงการอื่น เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ในแง่ระยะเวลาผูกพันและกลุ่มเป้าหมาย มาตรการนี้มีกรอบเวลาชัดเจน เช่น ส่วนลดร้อยละ 5-10 สำหรับการปิดบัญชีระหว่าง 1 มี.ค. - 31 พ.ค.2568 และการปรับโครงสร้างหนี้ใน 33 จังหวัดตั้งแต่ ม.ค. - มิ.ย.2568 ซึ่งขยายระยะผ่อนชำระสูงสุด 15 ปี กลุ่มเป้าหมายครอบคลุมผู้กู้ยืม 3.58 ล้านรายที่อยู่ระหว่างชำระหนี้ 1.36 ล้านรายในช่วงปลอดหนี้ และกลุ่มหนี้เสีย 3.1 หมื่นราย มูลค่า 2,800 ล้านบาท พรรคเพื่อไทยมองว่านี่คือการ "ปลดพันธนาการ" เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้กู้ยืมกลับมามีอิสรภาพทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงอยู่ที่การขาดวินัยชำระหนี้ในระยะยาว ซึ่งอาจกระทบวงเงินหมุนเวียนของ กยศ. หากพรรคเพื่อไทยไม่สามารถผลักดันมาตรการควบคุมและการให้ความรู้ทางการเงินควบคู่ไปด้วย มาตรการนี้อาจกลายเป็นเพียงการบรรเทาชั่วคราว แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนตามที่พรรคตั้งใจไว้ 3. คุณสู้ เราช่วย มาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" เป็นนโยบายช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ดำเนินการร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินต่าง ๆ เป้าหมายหลักเพื่อลดภาระทางการเงินของประชาชนที่มีภาระหนี้สินเชื่อบ้านและรถยนต์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์สำคัญต่อการดำรงชีวิตและการทำงานของคนส่วนใหญ่ โครงการนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์สินจากปัญหาทางเศรษฐกิจและภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยให้โอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้และลดค่างวดชำระในช่วงระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้ประชาชนสามารถบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐบาลกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับลูกหนี้ที่ต้องการเข้าร่วม ได้แก่ สินเชื่อบ้านหรือบ้านแลกเงินที่มียอดหนี้ไม่เกิน 5,000,000 บาท และสินเชื่อเช่าซื้อหรือจำนำทะเบียนรถยนต์ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 800,000 บาท มาตรการนี้ครอบคลุมระยะเวลา 3 ปี โดยกำหนดให้ลูกหนี้ชำระค่างวดขั้นต่ำในอัตราที่ลดลง คือ ปีแรกชำระเพียงร้อยละ 50 ของค่างวดเดิม ปีที่ 2 เพิ่มเป็นร้อยละ 70 และปีที่ 3 เป็นร้อยละ 9 ของค่างวดเดิม เงินที่ชำระทั้งหมดจะถูกนำไปตัดเงินต้น ขณะที่ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะถูกพักชำระไว้ และหากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ดอกเบี้ยที่ถูกพักไว้จะได้รับการยกเว้นทั้งหมด ในแง่ของงบประมาณ แม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัด แต่คาดว่ามาตรการนี้จะช่วยเหลือลูกหนี้กว่า 2 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าอาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการสนับสนุนมาตรการ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิประโยชน์ด้านดอกเบี้ยและการลดภาระดอกเบี้ยสะสมของลูกหนี้ แม้ว่ามาตรการนี้จะมีข้อดีในการช่วยเหลือประชาชนที่มีภาระหนี้หนัก แต่ก็ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาว เช่น ธนาคารต้องรองรับภาระดอกเบี้ยที่ไม่ได้รับการชำระเต็มจำนวนในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจกระทบต่อสภาพคล่องของสถาบันการเงินบางแห่ง รวมถึงความเสี่ยงที่ลูกหนี้บางรายอาจไม่สามารถกลับมาชำระหนี้เต็มจำนวนได้หลังสิ้นสุดมาตรการ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาลเพื่อไทย ตั้งแต่การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มาตรการช่วยเกษตรกร ปรับค่าแรงและเงินเดือน ไปจนถึงโครงการบ้านเพื่อคนไทย และนโยบายหนี้ เช่น การซื้อหนี้ ลดหย่อนหนี้ กยศ. และ คุณสู้ เราช่วย เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน สะท้อนเจตนารมณ์ประชานิยมที่หวังบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนท่ามกลางหนี้ครัวเรือน 16.4 ล้านล้านบาท และ GDP ที่เติบโตไม่ถึงร้อยละ 3 แต่ก็เผยจุดอ่อนสำคัญในแง่ความยั่งยืนและประสิทธิภาพ ด้วยงบประมาณรวมกว่า 500,000 - 600,000 ล้านบาทในระยะสั้น และหนี้สาธารณะที่สูงเกินร้อยละ 62 ของ GDP ประเทศ อนาคตของนโยบายเหล่านี้อาจนำไปสู่ 2 ฉากทัศน์ คือ หากรัฐบาลสามารถผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะแรงงาน และบริหารหนี้อย่างมีวินัย อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน แต่ หากยังเน้นการแจกเงินและพักหนี้โดยขาดกลไกแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ความเสี่ยงต่อวิกฤตการคลังจะเพิ่มสูงขึ้น สถาบันการเงินอาจเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และประชาชนอาจติดอยู่ในวังวนหนี้ต่อไป สะท้อนว่าการซื้อเวลาด้วยวิธีประชานิยมอาจไม่เพียงพอต่อการรับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจในระยะยาว รวบรวมจาก : แถลงการณ์นายกฯ แพทองธาร, กระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, กยศ., กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อ่านข่าวอื่น : กมธ.เผย ร่าง"กม.คุมเหล้า" หวังเพิ่มความรับผิดชอบร้านค้า "เมย์ วาสนา" ส่งทนายดำเนินคดี "ดิว อริสรา" ฐานยักยอกทรัพย์

กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเข้ารักษาตัวภายนอกเรือนจำที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยจะครบ 60 วั