วันนี้ (16 ต.ค.65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝนที่ตกต่อ

วันนี้ (9 ธ.ค.2564) พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มต่างๆ เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.) ว่า พบมี 5 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ส่งผลกระทบต่อการจราจรมากที่สุด คือกล
โครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง จ.เลย ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ในยุครัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ล่าสุด นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประกาศเดินหน้าโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภู
โครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง จ.เลย ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ในยุครัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ล่าสุด นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประกาศเดินหน้าโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล ทำให้มีกระแสวิพากษ์ วิจารณ์ และตั้งข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงสิ่งแวดล้อม ตั้งข้อสังเกต ตกแต่งตัวเลขให้โครงการ "คุ้มทุน" ดังเช่น นายนณณ์ ผาณิตวงศ์ นักวิชาการอิสระ และ กรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว ที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก Nonn Panitvong ถึงการสร้างกระเช้าภูกระดึง โดยมีเนื้อหา ดังนี้ เบื่อกระเช้าภูกระดึง คือ จากผลการศึกษาล่าสุด ของใครทำไว้ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว ขอสรุปเร็ว ๆ ดังนี้ 1. ด้วยเทคโนโลยีการสร้างในปัจจุบัน ตัวกระเช้าเอง ไม่ได้สร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่ ลำพังสร้างกระเช้าไม่ใช่ปัญหา 2.แต่ผลการศึกษาทางด้านเศรษฐกิจ มันระบุว่า ตัวงบประมาณที่จะใช้สร้างและการดูแลรักษา ลำพังนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวทั่ว ๆ ไปมันไม่เพียงพอที่จะให้คุ้มทุนได้เพราะ ตัวภูกระดึงเองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดดเดี่ยว ใครจะมาตรงนั้นคือจะมาภูกระดึงเท่านั้น ซึ่งพอขึ้นไปข้างบนมันไม่ได้มีอะไรที่จะรับการท่องเที่ยวให้คนมาเยอะแยะได้ และไม่มีอะไรดึงดูดให้คนขึ้นไปชมวิวแล้วกลับ เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆแห่งในต่างประเทศที่ให้ขึ้นไปดูวิว หรือไหว้พระ แบบเป็นนักท่องเที่ยวด่วนๆ อยู่ไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมงก็กลับ มันไม่มีอะไรรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นเลย ดังนั้น... มันมีการยัดโครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติอะไรไม่รู้ไว้ข้างบนหลังแปด้วย แล้วก็คาดการณ์ให้มันคุ้มทุนว่า จะมีนักเรียนหรือใครก็ไม่รู้ขึ้นไปเพื่อเที่ยวศูนย์ที่ว่านี่แล้วก็กลับลงมา โดยที่พีกกว่านั้นคือศูนย์ที่ว่านี่ ค่าก่อสร้างก็ไม่ได้รวมอยู่ในงบโครงการกระเช้า เพราะถ้ารวมก็เจ๊งอีกอยู่ดี คือ อันนี้ชัดเจนว่าพยายามแต่งตัวเลขให้โครงการคุ้มทุน 3.เอาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ไม่ควรสร้างแล้ว เพราะลำพังตัวโครงการเองมันไม่คุ้มทุน ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยขนาดจะสร้างโครงการที่ไม่จำเป็น ดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องคอยเอางบมาเติม หรือต้องปล่อยพังเสียหาย ใช้การไม่ได้ เพราะไม่มีงบมาเติม รอบนี้ได้ข่าวว่าจะศึกษาใหม่อีก ตามที่ได้ยินมาคือเสียเงินอีก 25 ล้านบาท มันมีอะไรเปลี่ยนไปหรือถึงจะต้องศึกษาใหม่ ? บางทีก็ไม่เข้าใจว่าประเทศนี้ นึกอยากจะเสียเงินค่าศึกษาอะไรก็ศึกษา คิดโครงการอะไรขึ้นมาก็ได้ ขุดโครงการอะไรขึ้นมาจากหลุมมาศึกษาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ คือ แค่ค่าศึกษานี่ ถ้าเอาไปทำอย่างอื่น ก็ได้ตั้งเยอะแยะแล้ว ตั้งคำถาม 3 ประการ คุ้มค่าจริงหรือไม่ สอดคล้องกับที่ นายศศิน เฉลิมลาภ อดีตเลขาธิการ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ที่ได้เคยโพสต์เฟซบุ๊ก ศศิน เฉลิมลาภ เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2568 ไว้ว่า ถ้าทำกระเช้าภูกระดึง จะมีสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์หลายประการ ประการแรก ธุรกิจที่สัมพันธ์กับอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน อาคารพาณิชย์ ที่มีคนครอบครองอยู่รอบๆ ภูเขาภูกระดึง และเส้นทางสู่ภูกระดึงจะคึกคัก ทั้งการเพิ่มมูลค่า การหมุนเวียนของเม็ดเงินต่างๆ ในการขยายกิจการเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะมีมากขึ้น และหมุนเวียนมาเยือนเพื่อขึ้นลงกระเช้าไปที่ราบกว้างใหญ่บนยอดเขา ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้สองเท้าเดิน ประการที่สอง ทำให้คนที่คิดว่าตัวเองขึ้นไม่ไหว ไม่มีเวลา และไม่กล้าขึ้น รวมถึงผู้มีข้อจำกัดเรื่องอายุและสภาพร่างกายมีโอกาสขึ้นไปได้ และกระเช้าไฟฟ้าอาจช่วยนำคนเจ็บป่วย บาดเจ็บ ขยะ ขนส่งข้าวปลาอาหาร เครื่องใช้ขึ้นไปได้ง่ายขึ้น นี่เป็นเหตุผลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน และไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันน่าเบื่อมากๆ เวลามีคนดีเบตกัน บนเรื่องอะไรที่ เฟก ๆแบบนี้ เพราะมันเถียงในเรื่องที่ไม่ใช่สาระสำคัญของบริบทที่แท้จริง ปีนี้ถ้าจะคุยกัน มันควรต้องเป็นเรื่องธุรกิจเที่ยวภูกระดึงและเลยจะคุ้ม จะเจ๊ง จะไปต่อยังไง ตามจินตนาการของนักธุรกิจที่จ้องจะหาผลประโยชน์ คุยกันตรงๆ มองภูกระดึงเป็นต้นทุนที่เจ๊งได้และจะไม่กลับคืน แน่นอนว่าไม่มีใครรับผิดชอบอะไรได้ เพราะเป้าหมายแท้จริงของมันคือการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ที่จะมาจังหวัดและอำเภอรอบๆภูเขาภูกระดึง เพื่อขยายต่อยอดธุรกิจต่างๆ นี่ต่างหากที่คือความต้องการที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่คิดจะพัฒนาบ้านเมือง แต่ปัญหาคือความคุ้มค่าที่จะเกิดขึ้นจริงๆ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำกำไรได้จริงไหมจากการเที่ยวกระเช้าบนภูเขาลูกนี้เพราะ คนอยากได้กระเช้า คือนักธุรกิจในจังหวัด ที่ต้องการ mass tourism ให้มาภูกระดึงเยอะๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดครับ ดังนั้นหากไปจำกัดสารพัด มันก็ไม่ตอบโจทย์ที่จะเพิ่มจำนวน นักท่องเที่ยวในจังหวัด แต่พอนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ มันก็พัง ไม่สวย สักพักก็ไม่มีจุดขาย หรือ ต้องทำตลาดว่ามาขึ้นกระเช้าเล่นสักครั้งในชีวิต แล้วหาลูกค้าขึ้นกระเช้าหน้าใหม่ไปเรื่อยๆ อีกอย่าง ข้อจำกัดภูกระดึงมันมีมาก ถ้าไม่ใช่ ต.ค.- ธ.ค. มันก็ไม่สวยแล้ว ไม่รู้จะขึ้นไปดูอะไร ม.ค. - เม.ย. นี่แห้งมากแล้ว พอ พ.ค. - ก.ย. มันฝนและมีแต่หมอก ฟ้าผ่า ลมแรง อันตราย ปกติจะปิดให้ฟื้นตัว แต่ถ้ามีกระเช้า เอาให้คุ้มก็ต้องเปิด ซึ่งผมว่ามันก็ไม่น่าเที่ยว เพราะดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ไม่เห็น ทากก็เยอะ หมอกบังวิว มันก็ไม่น่าเที่ยวอีก ดังนั้นกระเช้ามันก็ไม่สามารถทำให้คนมาเที่ยวเยอะๆ แล้วได้ทั้งปี คนอยากได้ ที่มีที่มีทาง หรือทำธุรกิจอยู่แล้วเบื้องต้น ขอแค่เริ่มมีโครงการ ก็เพิ่มมูลค่าธุรกิจ ปั่นราคาซื้อขายได้แล้ว ส่วนคนถูกขายฝันก็มีความหวังส่วนยาวๆ ก็ไปเสี่ยงเอาข้างหน้า อะไรจะเสียหาย มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องสนใจ ไม่ใช่เรื่อง สิ่งแวดล้อม หรือ อนุรักษ์อะไร เลยนะครับ เกือบสิบปีที่แล้วผมถามคำถามไว้ 3 ระดับ จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่เห็นใครมาตอบคำถามผมเลยนะ คุยกันแต่เรื่องน่าเบื่อเดิมๆ ผมว่าผู้บริหารกรมอุทยานกล้าๆ มาตอบคำถามสามข้อนี้หน่อย มันไม่มีถูกผิดหรอกครับ แต่มันจะส่อให้เห็นตัวตนของคุณ #ระดับที่ 1 ภูกระดึงเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาที่เป็น Trekking trail ที่ดีที่สุดของประเทศ เมื่อประเมินจากระยะทางที่ไม่ไกลมาก แทบไม่มีอันตรายอะไรถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุจากความประมาท การจัดการที่ลงตัว มีค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวไม่แพง รวมถึงเมื่อขึ้นไปแล้วมีที่สวยๆ ให้เดินเที่ยวมากมาย เรียกว่าคุ้มค่าเดินขึ้นและเดินเที่ยว สิ่งที่ว่ามาทำให้ภูเขาลูกนี้ทำหน้าที่มอบความรักธรรมชาติ ให้เราได้ซึมซับความงามทั้งจากธรรมชาติและมิตรภาพระหว่างทาง รวมถึงการเรียนรู้ที่บังเกิดขึ้นมากมายระหว่างความอดทนตอนเดินขึ้น สถานที่แบบนี้ในไทยมีที่เดียวคือ “ภูกระดึง” ส่วนที่อื่นๆ มีถนนขึ้นถึง หรือเดินไกลเกินไป เดินไปถึงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก ดังนั้น เมื่อมีกระเช้า ความท้าทายให้ไปถึงเรื่องที่ว่ามา ย่อมสู้ความสบายเย้ายวนจากการขึ้นกระเช้าไม่ได้คนจะเดินขึ้นก็คงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย พวกที่เลือกเดินจึงเป็นคนที่รักธรรมชาติมากมายอยู่แล้ว คนที่ขึ้นกระเช้าไปก็ไม่ได้ซึมซับอะไร ไม่ต่างจากการขับรถขึ้นภูเรือ ดอยอินทนนท์ หรือภูเขาอื่นๆ ที่กลับมาแล้วไม่มีความหมายอะไร ภูกระดึงทำหน้าที่นี้ให้ประเทศไทยมากว่า 50 ปี ตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงปัจจุบัน การมีกระเช้าหมายถึงเราเลิกใช้ฟังก์ชันนี้ของภูกระดึงแล้ว จะเทียบไปคงเหมือนเปลี่ยนวัด โบสถ์ วิหาร เป็นบอร์ดนิทรรศการพุทธศาสนา นี่คือเรื่องที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจจะเลือกทิ้งคุณค่าจากสิ่งนี้ไปหรือไม่ #ระดับที่ 2 จากผลการศึกษาและการออกแบบระบบกระเช้า คาดว่ามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย (เช่นตัดต้นไม้ไม่กี่ต้น) แต่ผลที่ตามมาหลังจากมีกระเช้า ยังไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่นเมื่อคนจำนวนมากขึ้นไปข้างบนแล้วจะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมแน่ๆ เช่น อาคารกลางแหล่งธรรมชาติที่สำคัญคือ ถนนหนทางข้างบนที่ต้องรองรับผู้มาเยือนที่ไม่เตรียมตัวไป “เดิน” และไม่พร้อมจะรับรู้ทั้งนั้นว่าทำไมไม่มีรถวิ่งไปชมที่ท่องเที่ยวที่ห่างจากสถานีกระเช้าหลายกิโลเมตรในแต่ละที่ รวมถึงการจำกัดคนค้างแรม การจัดการขยะ ต่างๆ ภายใต้สถานภาพความเป็นอุทยานแห่งชาติ ที่มีข้อจำกัดเรื่องกฎหมาย กำลังคน งบประมาณในการดูแลให้คงสภาพธรรมชาติ เราพร้อมจะปล่อยให้ที่สวยๆ ข้างบนพังไปอีกที่ใช่หรือไม่ #ระดับที่ 3 ถ้ามีคนขึ้นไปจำนวนมาก เราพร้อมเปลี่ยนพื้นที่อนุรักษ์อันอุดมด้วยธรรมชาติไปรองรับการบริการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวข้างบนในอนาคตเลยหรือไม่ หากนโยบายวันข้างหน้าจะเอาอย่างนั้น ยกเลิกพื้นที่อุทยานแห่งชาติไปเลย นี่คือเรื่องที่ต้องตัดสินใจตามกระเช้ามาในระดับท้ายสุด เรื่องก็ไม่มีอะไรมากกว่านี้ อ่านข่าว : "สรวงศ์" เคาะไทม์ไลน์ 2 ปี ปักหมุดสร้าง "กระเช้าภูกระดึง" มscater slots scater slotsูลนิธิสืบฯ แถลงการณ์ค้านก่อสร้าง "กระเช้าภูกระดึง" ดัน “กระเช้าภูกระดึง” 2 ปีแบบก่อสร้างชัด
วันที่ 23 เม.ย.2565 เวลา 23.00 น. เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมที่บริเวณด่านพรมแดนเมียวดี -แม่สอด เชิงสะพานม
จากกรณีที่กรมป่าไม้ เข้าแจ้งความเอาผิด นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ในคดีครอบครองไม้หวงห้าม โดยไม่ได้รั
โอ้เอ๋ว (薁蕘) ของหวานท้องถิ่น จ.ภูเก็ต มีลักษณะเป็นวุ้นใสๆ สีขาว กินคู่กับเฉาก๊วย หรือ ภาคใต้จะเรียกว
โครงการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง จ.เลย ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ในยุครัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ล่าสุด นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประกาศเดินหน้าโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล ทำให้มีกระแสวิพากษ์ วิจารณ์ และตั้งข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงสิ่งแวดล้อม ตั้งข้อสังเกต ตกแต่งตัวเลขให้โครงการ "คุ้มทุน" ดังเช่น นายนณณ์ ผาณิตวงศ์ นักวิชาการอิสระ และ กรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว ที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก Nonn Panitvong ถึงการสร้างกระเช้าภูกระดึง โดยมีเนื้อหา ดังนี้ เบื่อกระเช้าภูกระดึง คือ จากผลการศึกษาล่าสุด ของใครทำไว้ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว ขอสรุปเร็ว ๆ ดังนี้ 1. ด้วยเทคโนโลยีการสร้างในปัจจุบัน ตัวกระเช้าเอง ไม่ได้สร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่ ลำพังสร้างกระเช้าไม่ใช่ปัญหา 2.แต่ผลการศึกษาทางด้านเศรษฐกิจ มันระบุว่า ตัวงบประมาณที่จะใช้สร้างและการดูแลรักษา ลำพังนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวทั่ว ๆ ไปมันไม่เพียงพอที่จะให้คุ้มทุนได้เพราะ ตัวภูกระดึงเองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดดเดี่ยว ใครจะมาตรงนั้นคือจะมาภูกระดึงเท่านั้น ซึ่งพอขึ้นไปข้างบนมันไม่ได้มีอะไรที่จะรับการท่องเที่ยวให้คนมาเยอะแยะได้ และไม่มีอะไรดึงดูดให้คนขึ้นไปชมวิวแล้วกลับ เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆแห่งในต่างประเทศที่ให้ขึ้นไปดูวิว หรือไหว้พระ แบบเป็นนักท่องเที่ยวด่วนๆ อยู่ไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมงก็กลับ มันไม่มีอะไรรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นเลย ดังนั้น... มันมีการยัดโครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติอะไรไม่รู้ไว้ข้างบนหลังแปด้วย แล้วก็คาดการณ์ให้มันคุ้มทุนว่า จะมีนักเรียนหรือใครก็ไม่รู้ขึ้นไปเพื่อเที่ยวศูนย์ที่ว่านี่แล้วก็กลับลงมา โดยที่พีกกว่านั้นคือศูนย์ที่ว่านี่ ค่าก่อสร้างก็ไม่ได้รวมอยู่ในงบโครงการกระเช้า เพราะถ้ารวมก็เจ๊งอีกอยู่ดี คือ อันนี้ชัดเจนว่าพยายามแต่งตัวเลขให้โครงการคุ้มทุน 3.เอาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ไม่ควรสร้างแล้ว เพราะลำพังตัวโครงการเองมันไม่คุ้มทุน ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยขนาดจะสร้างโครงการที่ไม่จำเป็น ดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องคอยเอางบมาเติม หรือต้องปล่อยพังเสียหาย ใช้การไม่ได้ เพราะไม่มีงบมาเติม รอบนี้ได้ข่าวว่าจะศึกษาใหม่อีก ตามที่ได้ยินมาคือเสียเงินอีก 25 ล้านบาท มันมีอะไรเปลี่ยนไปหรือถึงจะต้องศึกษาใหม่ ? บางทีก็ไม่เข้าใจว่าประเทศนี้ นึกอยากจะเสียเงินค่าศึกษาอะไรก็ศึกษา คิดโครงการอะไรขึ้นมาก็ได้ ขุดโครงการอะไรขึ้นมาจากหลุมมาศึกษาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ คือ แค่ค่าศึกษานี่ ถ้าเอาไปทำอย่างอื่น ก็ได้ตั้งเยอะแยะแล้ว ตั้งคำถาม 3 ประการ คุ้มค่าจริงหรือไม่ สอดคล้องกับที่ นายศศิน เฉลิมลาภ อดีตเลขาธิการ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ที่ได้เคยโพสต์เฟซบุ๊ก ศศิน เฉลิมลาภ เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2568 ไว้ว่า ถ้าทำกระเช้าภูกระดึง จะมีสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์หลายประการ ประการแรก ธุรกิจที่สัมพันธ์กับอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน อาคารพาณิชย์ ที่มีคนครอบครองอยู่รอบๆ ภูเขาภูกระดึง และเส้นทางสู่ภูกระดึงจะคึกคัก ทั้งการเพิ่มมูลค่า การหมุนเวียนของเม็ดเงินต่างๆ ในการขยายกิจการเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะมีมากขึ้น และหมุนเวียนมาเยือนเพื่อขึ้นลงกระเช้าไปที่ราบกว้างใหญ่บนยอดเขา ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้สองเท้าเดิน ประการที่สอง ทำให้คนที่คิดว่าตัวเองขึ้นไม่ไหว ไม่มีเวลา และไม่กล้าขึ้น รวมถึงผู้มีข้อจำกัดเรื่องอายุและสภาพร่างกายมีโอกาสขึ้นไปได้ และกระเช้าไฟฟ้าอาจช่วยนำคนเจ็บป่วย บาดเจ็บ ขยะ ขนส่งข้าวปลาอาหาร เครื่องใช้ขึ้นไปได้ง่ายขึ้น นี่เป็นเหตุผลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน และไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันน่าเบื่อมากๆ เวลามีคนดีเบตกัน บนเรื่องอะไรที่ เฟก ๆแบบนี้ เพราะมันเถียงในเรื่องที่ไม่ใช่สาระสำคัญของบริบทที่แท้จริง ปีนี้ถ้าจะคุยกัน มันควรต้องเป็นเรื่องธุรกิจเที่ยวภูกระดึงและเลยจะคุ้ม จะเจ๊ง จะไปต่อยังไง ตามจินตนาการของนักธุรกิจที่จ้องจะหาผลประโยชน์ คุยกันตรงๆ มองภูกระดึงเป็นต้นทุนที่เจ๊งได้และจะไม่กลับคืน แน่นอนว่าไม่มีใครรับผิดชอบอะไรได้ เพราะเป้าหมายแท้จริงของมันคือการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ที่จะมาจังหวัดและอำเภอรอบๆภูเขาภูกระดึง เพื่อขยายต่อยอดธุรกิจต่างๆ นี่ต่างหากที่คือความต้องการที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่คิดจะพัฒนาบ้านเมือง แต่ปัญหาคือความคุ้มค่าที่จะเกิดขึ้นจริงๆ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำกำไรได้จริงไหมจากการเที่ยวกระเช้าบนภูเขาลูกนี้เพราะ คนอยากได้กระเช้า คือนักธุรกิจในจังหวัด ที่ต้องการ mass tourism ให้มาภูกระดึงเยอะๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดครับ ดังนั้นหากไปจำกัดสารพัด มันก็ไม่ตอบโจทย์ที่จะเพิ่มจำนวน นักท่องเที่ยวในจังหวัด แต่พอนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ มันก็พัง ไม่สวย สักพักก็ไม่มีจุดขาย หรือ ต้องทำตลาดว่ามาขึ้นกระเช้าเล่นสักครั้งในชีวิต แล้วหาลูกค้าขึ้นกระเช้าหน้าใหม่ไปเรื่อยๆ อีกอย่าง ข้อจำกัดภูกระดึงมันมีมาก ถ้าไม่ใช่ ต.ค.- ธ.ค. มันก็ไม่สวยแล้ว ไม่รู้จะขึ้นไปดูอะไร ม.ค. - เม.ย. นี่แห้งมากแล้ว พอ พ.ค. - ก.ย. มันฝนและมีแต่หมอก ฟ้าผ่า ลมแรง อันตราย ปกติจะปิดให้ฟื้นตัว แต่ถ้ามีกระเช้า เอาให้คุ้มก็ต้องเปิด ซึ่งผมว่ามันก็ไม่น่าเที่ยว เพราะดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ไม่เห็น ทากก็เยอะ หมอกบังวิว มันก็ไม่น่าเที่ยวอีก ดังนั้นกระเช้ามันก็ไม่สามารถทำให้คนมาเที่ยวเยอะๆ แล้วได้ทั้งปี คนอยากได้ ที่มีที่มีทาง หรือทำธุรกิจอยู่แล้วเบื้องต้น ขอแค่เริ่มมีโครงการ ก็เพิ่มมูลค่าธุรกิจ ปั่นราคาซื้อขายได้แล้ว ส่วนคนถูกขายฝันก็มีความหวังส่วนยาวๆ ก็ไปเสี่ยงเอาข้างหน้า อะไรจะเสียหาย มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องสนใจ ไม่ใช่เรื่อง สิ่งแวดล้อม หรือ อนุรักษ์อะไร เลยนะครับ เกือบสิบปีที่แล้วผมถามคำถามไว้ 3 ระดับ จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่เห็นใครมาตอบคำถามผมเลยนะ คุยกันแต่เรื่องน่าเบื่อเดิมๆ ผมว่าผู้บริหารกรมอุทยานกล้าๆ มาตอบคำถามสามข้อนี้หน่อย มันไม่มีถูกผิดหรอกครับ แต่มันจะส่อให้เห็นตัวตนของคุณ #ระดับที่ 1 ภูกระดึงเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาที่เป็น Trekking trail ที่ดีที่สุดของประเทศ เมื่อประเมินจากระยะทางที่ไม่ไกลมาก แทบไม่มีอันตรายอะไรถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุจากความประมาท การจัดการที่ลงตัว มีค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวไม่แพง รวมถึงเมื่อขึ้นไปแล้วมีที่สวยๆ ให้เดินเที่ยวมากมาย เรียกว่าคุ้มค่าเดินขึ้นและเดินเที่ยว สิ่งที่ว่ามาทำให้ภูเขาลูกนี้ทำหน้าที่มอบความรักธรรมชาติ ให้เราได้ซึมซับความงามทั้งจากธรรมชาติและมิตรภาพระหว่างทาง รวมถึงการเรียนรู้ที่บังเกิดขึ้นมากมายระหว่างความอดทนตอนเดินขึ้น สถานที่แบบนี้ในไทยมีที่เดียวคือ “ภูกระดึง” ส่วนที่อื่นๆ มีถนนขึ้นถึง หรือเดินไกลเกินไป เดินไปถึงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก ดังนั้น เมื่อมีกระเช้า ความท้าทายให้ไปถึงเรื่องที่ว่ามา ย่อมสู้ความสบายเย้ายวนจากการขึ้นกระเช้าไม่ได้คนจะเดินขึ้นก็คงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย พวกที่เลือกเดินจึงเป็นคนที่รักธรรมชาติมากมายอยู่แล้ว คนที่ขึ้นกระเช้าไปก็ไม่ได้ซึมซับอะไร ไม่ต่างจากการขับรถขึ้นภูเรือ ดอยอินทนนท์ หรือภูเขาอื่นๆ ที่กลับมาแล้วไม่มีความหมายอะไร ภูกระดึงทำหน้าที่นี้ให้ประเทศไทยมากว่า 50 ปี ตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงปัจจุบัน การมีกระเช้าหมายถึงเราเลิกใช้ฟังก์ชันนี้ของภูกระดึงแล้ว จะเทียบไปคงเหมือนเปลี่ยนวัด โบสถ์ วิหาร เป็นบอร์ดนิทรรศการพุทธศาสนา นี่คือเรื่องที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจจะเลือกทิ้งคุณค่าจากสิ่งนี้ไปหรือไม่ #ระดับที่ 2 จากผลการศึกษาและการออกแบบระบบกระเช้า คาดว่ามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย (เช่นตัดต้นไม้ไม่กี่ต้น) แต่ผลที่ตามมาหลังจากมีกระเช้า ยังไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่นเมื่อคนจำนวนมากขึ้นไปข้างบนแล้วจะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมแน่ๆ เช่น อาคารกลางแหล่งธรรมชาติที่สำคัญคือ ถนนหนทางข้างบนที่ต้องรองรับผู้มาเยือนที่ไม่เตรียมตัวไป “เดิน” และไม่พร้อมจะรับรู้ทั้งนั้นว่าทำไมไม่มีรถวิ่งไปชมที่ท่องเที่ยวที่ห่างจากสถานีกระเช้าหลายกิโลเมตรในแต่ละที่ รวมถึงการจำกัดคนค้างแรม การจัดการขยะ ต่างๆ ภายใต้สถานภาพความเป็นอุทยานแห่งชาติ ที่มีข้อจำกัดเรื่องกฎหมาย กำลังคน งบประมาณในการดูแลให้คงสภาพธรรมชาติ เราพร้อมจะปล่อยให้ที่สวยๆ ข้างบนพังไปอีกที่ใช่หรือไม่ #ระดับที่ 3 ถ้ามีคนขึ้นไปจำนวนมาก เราพร้อมเปลี่ยนพื้นที่อนุรักษ์อันอุดมด้วยธรรมชาติไปรองรับการบริการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวข้างบนในอนาคตเลยหรือไม่ หากนโยบายวันข้างหน้าจะเอาอย่างนั้น ยกเลิกพื้นที่อุทยานแห่งชาติไปเลย นี่คือเรื่องที่ต้องตัดสินใจตามกระเช้ามาในระดับท้ายสุด เรื่องก็ไม่มีอะไรมากกว่านี้ อ่านข่าว : "สรวงศ์" เคาะไทม์ไลน์ 2 ปี ปักหมุดสร้าง "กระเช้าภูกระดึง" มscater slots scater slotsูลนิธิสืบฯ แถลงการณ์ค้านก่อสร้าง "กระเช้าภูกระดึง" ดัน “กระเช้าภูกระดึง” 2 ปีแบบก่อสร้างชัด
วันนี้ (23 ก.พ.2564) เว็บไซต์ worldometers รายงานสถานการณ์ COVID-19 ทั่วโลก ติดเชื้อสะสม 112,258,917