ฟุตบอล ประวัติ
เพจเฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง โพสต์ข้อความ
฿29287
บาท2
ห้องนอน
35
ห้องน้ำ
956
ตร.ม.
฿ 2758
/ ตารางเมตร
ฟุตบอล ประวัติ
วันนี้ (20 ก.ย.2566) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนัก
UID: 30303
วันนี้ (22 มิ.ย.2564) ที่ประชุมรัฐสภา พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซ
แล้วที่ประชุมรัฐสภา มีมติเสียงข้างมาก 304 ต่อ 150 เสียง งดออกเสียง 124 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง เ
17 มกราคม 2567 คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา (กมอ.) ออกประกาศเรื่อง นโยบายการยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2567 ประกาศฉบับนี้ ระบุว่า ให้สถาบันอุดมศึกษากำหนดนโยบายและเป้าหมายการยกระดับภาษาอังกฤษในสถาบันอุดมศึกษา เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาทักษะความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษของนิสิตนักศึกษาให้มีความพร้อมมีทักษะภาษาอังกฤษในระดับที่ใช้งานได้ ซี่งมีเกณฑ์ที่ใช้ในการวัดผลระบุไว้ด้วย “ข้อ 8 ... ให้สถาบันอุดมศึกษาพิจารณาจัดให้นิสิตนักศึกษาทุกคน สอบวัดความรู้และทักษะภาษาอังกฤษก่อนสำเร็จการศึกษา ตามแบบทดสอบที่สถาบันอุดมศึกษาพัฒนาขึ้นหรือแบบทดสอบตามมาตรฐานสากลอื่นๆ โดยเทียบเคียงผลกับ Common European Framework of Reference for Language (CEFR) เพื่อให้ทราบถึงผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะภาษาอังกฤษของนิสิตนักศึกษาแต่ละคน และสถาบันอุดมศึกษาอาจพิจารณานำผลการทดสอบความรู้และทักษะภาษาอังกฤษบันทึกในใบรับรองผลการศึกษา หรือจัดทำเป็นประกาศนียบัตร ทั้งนี้ เป้าหมายผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะภาษาอังกฤษ มีดังนี้ ... (2) ระดับปริญญาตรี ควรกำหนดเป้าหมายผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะภาษาอังกฤษก่อนสำเร็จการศึกษา เทียบเคียงกับผล CEFR ในระดับเกณฑ์ตั้งแต่ B2 ขึ้นไป” ประกาศฉบับนี้ มีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ประกาศ คือ 17 มกราคม 2567 แต่เพิ่งถูกหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา หลังถูกแชร์ออกมาในโลกออนไลน์ ซึ่งมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ยังมีข้อห่วงใย ฝ่ายที่เห็นด้วย มองว่า ประเทศไทยควรจะมีเกณฑ์วัดทักษะภาษาอังกฤษให้นักศึกษาที่จะจบปริญญาตรีต้องใช้ภาษาอังกฤษเพื่ฟุตบอล ประวัติอการสื่อสารได้เป็นอย่างน้อย เพราะหลักเกณฑ์แบบเดียวกันนี้ถูกบังคับใช้ไปนานแล้วในหลายประเทศ เช่น ประเทศเวียดนาม ส่วนที่ฝ่ายที่ยังมีข้อกังวล ตั้งข้อสังเกตว่า การประกาศให้วัดทักษะภาษาอังกฤษด้วยหลักเกณฑ์ CEFR ในระดับ B2 กับนักศึกษาที่จะจบปริญญาตรีในทีเดียว เหมือนเป็นการมองข้ามการเรียนพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ควรจะต้องถูกบ่มเพาะมาเรื่อยๆตั้งแต่ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาหรือไม่ ซึ่งมองตามความเป็นจริงๆแล้ว ในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทย ยังไม่มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงพอจะช่วยส่งทุกคนไปถึงระดับ B2 ในมหาวิทยาลัย เว้นแต่นักเรียนจะไปเรียนเสริมด้วยตนเองหรือต้องจ่ายเงินค่าหลักสูตรภาษาอังกฤษเพิ่ม แต่การจะหาคำตอบนี้ ต้องผ่านกระบวนการทำความเข้าใจในคำถามย่อยอีกหลายข้อ ตั้งแต่ ... ระดับ B2 ใน CEFR คืออะไร นักศึกษาที่จะจบปริญญาตรีตามประกาศนี้ต้องมีทักษะในระดับไหน ทำอะไรได้บ้าง … การศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยมีศักยภาพพอที่จะทำให้เด็กไทยทุกคนมีทักษะภาษาอังกฤษไปถึงระดับที่ต้องการหรือไม่ และกระบวนการผลิตครูในประเทศไทย พร้อมแล้วสำหรับการช่วยยกระดับมาตรฐานทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนไทย ... ใช่หรือไม่? หนึ่งในคนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดี คือ ผู้ที่ทำหน้าที่ในการผลิตครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ผศ.ดร.จุฑารัตน์ วิบูลผล อาจารย์ประจำสาขาวิชาการสอนภาษาต่างประเทศ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย “เห็นด้วยกับการกำหนดเป้าหมายว่า การศึกษาไทยจะต้องช่วยยกระดับทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของเด็กไทยให้ดีขึ้น เพราะถ้าเด็กที่จะจบปริญญาตรีในประเทศไทย ยังไม่สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารภาษาอังกฤษได้ เราก็จะตามไม่ทันความรู้ใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน ... ดังนั้น การกำหนดเป้าหมายเช่นนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องขับเคลื่อนไปให้ได้พร้อมกันทั้งระบบ จะไปเริ่มแค่ที่ระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้” อาจารย์จุฑารัตน์ อธิบายถึงหลักคิดที่จะไขปริศนาต่างๆเหล่านี้ โดยต้องยอมรับก่อนว่า ความพยายามที่จะยกระดับทักษะภาษาอังกฤษของเด็กไทย เป็นสิ่งที่ควรทำ และมีความพยายามหลายครั้งที่จะแก้ปัญหานี้ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา แต่ที่ยังไม่เห็นผล เพราะนโยบายที่เคยถูกประกาศออกมา มักจะล้มเลิกไปเงียบๆ ไม่ถูกนำไปผลักดันอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้ไปจัดการที่ระบบหรือโครงสร้างการศึกษามากพอที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริง “ประกาศฉบับนี้ออกมาตั้งแต่ต้นปี 2567 แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นการดำเนินการในระดับมหาวิทยาลัย ในเรื่องของการกำหนดให้มีการทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษและการกำหนดเป้าหมายผลสัมฤทธิ์ ที่เป็นประเด็นในสื่อออนไลน์ หากอ่านข้อความ ข้อ 8 ในประกาศอย่างละเอียด ก็จะเห็นการใช้คำว่า ...ให้สถาบันอุดมศึกษา “พิจารณา” และ “อาจพิจารณา” ซึ่งหมายความว่า ไม่ใช่การบังคับให้ทุกมหาวิทยาลัยต้องกำหนดให้มีการสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษก่อนสำเร็จการศึกษา เลยคิดว่าน่าจะเป็นการเริ่ม “ส่งสัญญาณ” ให้มหาวิทยาลัยต้องพัฒนาการจัดการเรียนการสอนและหาวิธีทำให้นิสิตนักศึกษาที่กำลังจะจบปริญญาตรีต้องพัฒนาภาษาอังกฤษไปให้ถึงระดับ B2 มากกว่า” “และในประกาศ ยังอ้างถึงที่มาว่า ... คณะรัฐมนตรี (28 พฤศจิกายน 2566) ได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือโครงการการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในทุกระดับการศึกษา .... ดังนั้น นโยบายนี้น่าจะมีความมุ่งหวังให้เกิดการยกระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษของคนไทยตั้งแต่ระดับการศึกษาขึ้นพื้นฐาน” อาจารย์จุฑารัตน์ อธิบายเนื้อหาที่สามารถตีความออกมาได้จากประกาศ เพื่อชี้ให้เห็นว่า แม้ประกาศจะระบุถึงเป้าหมายการกำหนดเกณฑ์ความสามารถของนิสิตนักศึกษาที่จะเรียนจบในระดับปริญญาตรี แต่ก็มีนัยยะของความพยายามที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลงไปถึงพื้นฐานของการศึกษาไทย คำถามข้อที่ 1 ...ระดับ B2 ใน CEFR คืออะไร นักศึกษาที่จะจบปริญญาตรีตามประกาศนี้ต้องมีทักษะในระดับไหน ทำอะไรได้บ้าง ? “ระดับ B2 ในเกณฑ์ CEFR คือ ระดับความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ที่ต้องสามารถใช้ภาษาเกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัวหรือเรื่องที่คุ้นเคยได้” อาจารย์จุฑารัตน์ นำคำอธิบายจากกรอบที่ใช้ในการประเมินตนเองของผู้เรียนมาอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า หากกำหนดให้ผู้ที่เรียนจบระดับปริญญาตรี จะต้องมีความสามารถทางภาษาระดับ CEFR B2 บัณฑิตคนนั้น จะต้องใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับไหน “ถ้าเป็นเรื่อง ... การฟัง ... จะต้องฟังการบรรยายภาษาอังกฤษที่มีความยาวพอสมควรได้ ต้องฟังและมีความเข้าใจมากพอที่จะสามารถจับประเด็นที่ซับซ้อนในเรื่องที่คุ้นเคยได้ สามารถติดตามรายการข่าวหรือรายการทั่วไปได้ สามารถดูภาพยนตร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงมาตรฐานได้ .... ถ้าเป็นเรื่อง ... การพูด ... ในระดับ B2 บอกว่า จะต้องสามารถคุยและโต้ตอบกับเจ้าของภาษาได้ สามารถร่วมพูดคุยหรืออภิปรายด้วยภาษาอังกฤษในหัวข้อที่คุ้นเคยได้ เป็นต้น” เมื่อดูจากหลักเกณฑ์การประเมินเพื่อผ่านระดับ B2 ในทักษะการฟังและการพูดแล้ว อาจารย์จุฑารัตน์ ระบุว่า B2 คือ ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในบริบทที่เป็นเรื่องใกล้ตัว แม้ในสภาวะปัจจุบัน อาจจะยังมองเป็นระดับที่ยากสำหรับเด็กไทยส่วนใหญ่ แต่ระบบการศึกษาต้องมีกระบวนการที่ทำให้ B2 เป็นระดับที่ควรต้องทำให้ได้ ไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่สูงเกินไป ซึ่งตอนนี้ กระทรวงศึกษาธิการก็ได้มีการกำหนดเป้าหมายไล่ขึ้นมาทีละระดับแล้ว เช่น จบ ป.6 ต้องใช้ภาษาได้ในระดับ A1 ,จบ ม.3 ระดับ A2 ,จบ ม.6 หรือ ปวช. ต้องได้ระดับ B1 หากพัฒนาได้ตามนี้จริงตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นิสิตนักศึกษาก็จะมีเวลา 4 ปี ในมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาจากระดับ B1 ไปสู่ B2 คำถามที่ 2 ...การศึกษาขั้นพื้นฐานของไทย มีศักยภาพพอที่จะทำให้เด็กไทยทุกคนมีทักษะภาษาอังกฤษไปถึงระดับที่ต้องการหรือไม่ ? “เมื่อปี 2557 ประเทศไทยเคยมีประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง นโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ แต่การดำเนินการไม่ต่อเนื่อง” นโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ที่ประกาศไว้เมื่อปี 2557 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คือหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ อาจารย์จุฑารัตน์ ค้นหามาเพื่อยืนยันว่ากระทรวงศึกษาธิการ เคยมีความพยายามที่จะผลักดันนโยบายการยกระดับทักษะภาษาอังกฤษของเด็กไทยมาแล้ว โดยในเอกสารแนวปฏิบัติฯ เมื่อปี 2557 ระบุว่า ... ปี 2557 กระทรวงศึกษาธิการกำหนดนโยบายปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ อาจารย์จุฑารัตน์ ทบทวนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาตลอด 10 ปี ตั้งแต่ปี 2557 – 2567 โดยเล่าว่า สิ่งที่ดูจะเป็นผลจากประกาศกระทรวงศึกษาธิการเมื่อปี 2557 คือ โรงเรียนหลายแห่งมีการเปิดห้องเรียนพิเศษที่พัฒนาภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น ซึ่งเป็นการพัฒนาในรูปแบบของห้องเรียนพิเศษ ซึ่งไม่ใช่คำนิยามของคำว่า การศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ทุกคนควรเข้าถึงได้ อย่างเช่น ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของสาธารณสุขที่ทำให้ทุกคนต้องเข้าถึงได้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ “โจทย์สำคัญที่ต้องตอบให้ได้ก็คือ หากประเทศไทยต้องการให้ “คนไทยทุกคน” มีทักษะภาษาอังกฤษไปถึงระดับ B2 เมื่อเรียนจบปริญญาตรี เราจะต้องทำให้การสอนภาษาอังกฤษในระดับชั้นต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนอย่างเป็นขั้นบันไดตั้งแต่ชั้น ป.1 ไปจนจบ ม.6 หรือ ปวช. ได้อย่างไร และสำคัญมากกว่าคือทำอย่างไรให้เป็นการพัฒนาที่เกิดขึ้นใน ... ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งในโรงเรียนของรัฐและเอกชน ... ไม่ใช่มีสอนแค่ในห้องเรียนพิเศษที่ต้องผ่านการคัดเลือกแบบพิเศษ และต้องจ่ายเงินเพิ่มมากกว่าการเรียนหลักสูตรปกติ” ปัจจัยสำคัญที่ อาจารย์จุฑารัตน์ เห็นว่า ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับการปรับการเรียนการสอนของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและของมหาวิทยาลัย คือ การผลิตและพัฒนาครู เพื่อให้เรามีครูไทยที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารและการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องพึ่งครูต่างชาติ “หากย้อนกลับไป ปี 2544 เรามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกี่ยวกับการสอนภาษาอังกฤษ โดยกำหนดให้ทุกโรงเรียนต้องเริ่มสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้น ป.1 แต่นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน เราเตรียมครูไม่ทัน” อาจารย์จุฑารัตน์ บอกต่อว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป ไม่มีการเตรียมการมากพอ แม้จะมีเจตนาที่ดีที่จะให้นักเรียนได้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษเร็วขึ้น แต่โรงเรียนประถมส่วนใหญ่ไม่มีบุคลากรครูที่เรียนจบมาเพื่อสอนภาษาอังกฤษโดยตรงเพียงพอ จึงทำให้ต้องใช้ครูจากสาขาวิชาอื่นไปสอนภาษาอังกฤษ และจนมาถึงปัจจุบันนี้เชื่อว่าเรายังคงมีครูสอนภาษาอังกฤษที่ต้องพัฒนาภาษาอังกฤษเพิ่มอีกมาก “เมื่อเรามีเป้าหมายที่จะทำให้เด็กไทยต้องเก่งภาษาอังกฤษ จะจบปริญญาตรีต้องผ่านเกณฑ์ระดับ B2 เราก็ต้องทำให้โรงเรียนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะโรงเรียนของรัฐมีศักยภาพในการพัฒนาภาษาอังกฤษของนักเรียนไล่ไปตั้งแต่ชั้นประถม มัธยม ดังนั้น คณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันผลิตครู ต้องช่วยพัฒนาเรื่องนี้อย่างจริงจัง” อาจารย์ยกตัวอย่าง โครงการพัฒนาครูภาษาอังกฤษที่จัดเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ชื่อโครงการ Boot Camp ซึ่งมีการทดสอบความสามารถครูภาษาอังกฤษทั่วประเทศ แล้วคัดครูที่มีความสามารถสูงเข้ามาอบรมเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเข้มข้น โดยหวังให้ครูกลุ่มนี้เป็นแม่ข่ายออกไปช่วยอบรมครูในเขตพื้นที่การศึกษาที่ตัวเองสังกัดให้มีศักยภาพสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ก็ทำอยู่ได้แค่ 2-3 ปี ก็หยุดไป ปัจจุบัน กระทรวงศึกษาธิการมีความพยายามจะพัฒนาภาษาอังกฤษให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาในทุกวิชาเอก ผ่านการทำงานของศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (Human Capital Excellence Center : HCEC) ที่จัดตั้งขึ้นทั่วประเทศ และมีการสร้างแรงจูงใจให้ครูพัฒนาภาษาอังกฤษ โดยครูที่มีสมรรถนะภาษาอังกฤษเทียบเท่า CEFR ระดับ B2 ขึ้นไป จะสามารถลดระยะเวลาในการขอเลื่อนวิทยฐานะ ทำให้ดำเนินการได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ในหลักสูตรปริญญาตรี ครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ ก็มีการกำหนดให้ทุกวิชาเอกต้องเรียนภาษาอังกฤษสำหรับการจัดการเรียนการสอนด้วย “ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมา เราจะเห็นว่า เป็นกลยุทธ์ที่ใช้สร้างแรงจูงใจให้ครูไปพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเองมากกว่า ยังไม่ใช่การจัดการกับระบบการผลิตครูใหม่หรือการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของครูประจำการแบบเป็นองค์รวมเพื่อให้ปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้ทั้งระบบอย่างแท้จริง” “แนวคิดการสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบัน ควรเน้นการพัฒนาสมรรถนะในการสื่อสาร สอนให้ใช้ภาษาได้จริง ในหลายโรงเรียนมีการจ้างครูชาวต่างชาติมาช่วยสอนและสร้างบรรยากาศในการใช้ภาษาอังกฤษให้กับผู้เรียน แต่มีการบริหารจัดการที่น่าเป็นกังวล ในระดับ ม.ต้น ที่หลักสูตรกำหนดให้เด็กเรียนภาษาอังกฤษ 3 คาบต่อสัปดาห์ หลายโรงเรียนแบ่งคาบให้ครูไทยสอนไวยากรณ์ (Grammar) 2 คาบ และให้ครูต่างชาติมาสอนทักษะการสื่อสาร 1 คาบ เป็นการเรียนภาษาแบบแยกส่วน ในการเรียนภาษาเพื่อการสื่อสาร เราเรียนไวยากรณ์เพื่อใช้สื่อความหมายบางอย่าง ไม่ใช่เรียนเพื่อแค่รู้หลักไวยากรณ์” “พอเราสอนกันแบบนี้ และให้ความสำคัญกับการสอบที่เน้นวัดความรู้ทางไวยากรณ์มากกว่าการสื่อความหมาย เราสอนให้เด็กเรียนแต่กฎของภาษา ไม่ใช่เพื่อให้เด็กใช้ภาษาอังกฤษไปคุยเล่นได้ ใช้ไปดูหนังฟังเพลงได้ ก็ทำให้เด็กไม่สนุก ไม่อยากเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งที่จริงๆ แล้วผู้เรียนจะมีพัฒนาการทางภาษาได้เองถ้าได้สนุกกับการใช้ภาษา ห้องเรียนภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ของเรายังไม่มีบรรยากาศแบบนั้น” คือปัญหาที่ อาจารย์จุฑารัตน์ ชี้ให้เห็นประเด็นที่ต้องแก้ไขตั้งแต่ระบบการผลิตและพัฒนาครู การจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึ่งเป็นวงจรเชื่อมต่อกัน “ในฐานะนักครุศึกษาด้านการสอนภาษาอังกฤษ เห็นด้วยกับความพยายามของรัฐที่จะยกระดับทักษะภาษาอังกฤษของเด็กไทย เพราะภาษาอังกฤษ เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ก็ขับเคลื่อนในเรื่องนี้” “ถ้าวันนี้ เรากำหนดให้ทักษะภาษาอังกฤษ ในระดับ B2 เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำของบัณฑิตปริญญาตรี เด็กไทยทุกคนก็ควรจะได้รับการพัฒนาเรื่องนี้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ตั้งแต่การเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จนถึงมหาวิทยาลัย” “การผลิตและพัฒนาครูต้องกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาภาษาอังกฤษของครูไทยที่ชัดเจน ทำให้ครูมีทักษะภาษาอังกฤษมากพอที่จะสอนเด็กในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ห้องเรียนแบบ English Program ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการสอนในวิชาเนื้อหาบางวิชา ควรเป็นห้องเรียนที่นักเรียนทุกคนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงได้ทั้งในโรงเรียนของรัฐและเอกชน ส่วนหลักสูตรพิเศษที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ก็อาจยกระดับคุณภาพให้สูงไปกว่านั้นได้” ผศ.ดร.จุฑารัตน์ ทิ้งท้าย รายงานโดย : สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา ข่าวข่าว : SONP ชวนส่งผลงานประกวด “ข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม 2567” เปิดมิติแห่งการพัฒนา "เยาวชนผู้พิการ-ผู้ด้อยโอกาส" ด้วยศิลปะ
17 มกราคม 2567 คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา (กมอ.) ออกประกาศเรื่อง นโยบายการยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤ
วันนี้ (22 มิ.ย.2564) ที่ประชุมรัฐสภา พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซ
แล้วที่ประชุมรัฐสภา มีมติเสียงข้างมาก 304 ต่อ 150 เสียง งดออกเสียง 124 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง เ
17 มกราคม 2567 คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา (กมอ.) ออกประกาศเรื่อง นโยบายการยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2567 ประกาศฉบับนี้ ระบุว่า ให้สถาบันอุดมศึกษากำหนดนโยบายและเป้าหมายการยกระดับภาษาอังกฤษในสถาบันอุดมศึกษา เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาทักษะความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษของนิสิตนักศึกษาให้มีความพร้อมมีทักษะภาษาอังกฤษในระดับที่ใช้งานได้ ซี่งมีเกณฑ์ที่ใช้ในการวัดผลระบุไว้ด้วย “ข้อ 8 ... ให้สถาบันอุดมศึกษาพิจารณาจัดให้นิสิตนักศึกษาทุกคน สอบวัดความรู้และทักษะภาษาอังกฤษก่อนสำเร็จการศึกษา ตามแบบทดสอบที่สถาบันอุดมศึกษาพัฒนาขึ้นหรือแบบทดสอบตามมาตรฐานสากลอื่นๆ โดยเทียบเคียงผลกับ Common European Framework of Reference for Language (CEFR) เพื่อให้ทราบถึงผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะภาษาอังกฤษของนิสิตนักศึกษาแต่ละคน และสถาบันอุดมศึกษาอาจพิจารณานำผลการทดสอบความรู้และทักษะภาษาอังกฤษบันทึกในใบรับรองผลการศึกษา หรือจัดทำเป็นประกาศนียบัตร ทั้งนี้ เป้าหมายผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะภาษาอังกฤษ มีดังนี้ ... (2) ระดับปริญญาตรี ควรกำหนดเป้าหมายผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะภาษาอังกฤษก่อนสำเร็จการศึกษา เทียบเคียงกับผล CEFR ในระดับเกณฑ์ตั้งแต่ B2 ขึ้นไป” ประกาศฉบับนี้ มีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ประกาศ คือ 17 มกราคม 2567 แต่เพิ่งถูกหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา หลังถูกแชร์ออกมาในโลกออนไลน์ ซึ่งมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ยังมีข้อห่วงใย ฝ่ายที่เห็นด้วย มองว่า ประเทศไทยควรจะมีเกณฑ์วัดทักษะภาษาอังกฤษให้นักศึกษาที่จะจบปริญญาตรีต้องใช้ภาษาอังกฤษเพื่ฟุตบอล ประวัติอการสื่อสารได้เป็นอย่างน้อย เพราะหลักเกณฑ์แบบเดียวกันนี้ถูกบังคับใช้ไปนานแล้วในหลายประเทศ เช่น ประเทศเวียดนาม ส่วนที่ฝ่ายที่ยังมีข้อกังวล ตั้งข้อสังเกตว่า การประกาศให้วัดทักษะภาษาอังกฤษด้วยหลักเกณฑ์ CEFR ในระดับ B2 กับนักศึกษาที่จะจบปริญญาตรีในทีเดียว เหมือนเป็นการมองข้ามการเรียนพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ควรจะต้องถูกบ่มเพาะมาเรื่อยๆตั้งแต่ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาหรือไม่ ซึ่งมองตามความเป็นจริงๆแล้ว ในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทย ยังไม่มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงพอจะช่วยส่งทุกคนไปถึงระดับ B2 ในมหาวิทยาลัย เว้นแต่นักเรียนจะไปเรียนเสริมด้วยตนเองหรือต้องจ่ายเงินค่าหลักสูตรภาษาอังกฤษเพิ่ม แต่การจะหาคำตอบนี้ ต้องผ่านกระบวนการทำความเข้าใจในคำถามย่อยอีกหลายข้อ ตั้งแต่ ... ระดับ B2 ใน CEFR คืออะไร นักศึกษาที่จะจบปริญญาตรีตามประกาศนี้ต้องมีทักษะในระดับไหน ทำอะไรได้บ้าง … การศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยมีศักยภาพพอที่จะทำให้เด็กไทยทุกคนมีทักษะภาษาอังกฤษไปถึงระดับที่ต้องการหรือไม่ และกระบวนการผลิตครูในประเทศไทย พร้อมแล้วสำหรับการช่วยยกระดับมาตรฐานทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนไทย ... ใช่หรือไม่? หนึ่งในคนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดี คือ ผู้ที่ทำหน้าที่ในการผลิตครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ผศ.ดร.จุฑารัตน์ วิบูลผล อาจารย์ประจำสาขาวิชาการสอนภาษาต่างประเทศ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย “เห็นด้วยกับการกำหนดเป้าหมายว่า การศึกษาไทยจะต้องช่วยยกระดับทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของเด็กไทยให้ดีขึ้น เพราะถ้าเด็กที่จะจบปริญญาตรีในประเทศไทย ยังไม่สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารภาษาอังกฤษได้ เราก็จะตามไม่ทันความรู้ใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน ... ดังนั้น การกำหนดเป้าหมายเช่นนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องขับเคลื่อนไปให้ได้พร้อมกันทั้งระบบ จะไปเริ่มแค่ที่ระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้” อาจารย์จุฑารัตน์ อธิบายถึงหลักคิดที่จะไขปริศนาต่างๆเหล่านี้ โดยต้องยอมรับก่อนว่า ความพยายามที่จะยกระดับทักษะภาษาอังกฤษของเด็กไทย เป็นสิ่งที่ควรทำ และมีความพยายามหลายครั้งที่จะแก้ปัญหานี้ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา แต่ที่ยังไม่เห็นผล เพราะนโยบายที่เคยถูกประกาศออกมา มักจะล้มเลิกไปเงียบๆ ไม่ถูกนำไปผลักดันอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้ไปจัดการที่ระบบหรือโครงสร้างการศึกษามากพอที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริง “ประกาศฉบับนี้ออกมาตั้งแต่ต้นปี 2567 แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นการดำเนินการในระดับมหาวิทยาลัย ในเรื่องของการกำหนดให้มีการทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษและการกำหนดเป้าหมายผลสัมฤทธิ์ ที่เป็นประเด็นในสื่อออนไลน์ หากอ่านข้อความ ข้อ 8 ในประกาศอย่างละเอียด ก็จะเห็นการใช้คำว่า ...ให้สถาบันอุดมศึกษา “พิจารณา” และ “อาจพิจารณา” ซึ่งหมายความว่า ไม่ใช่การบังคับให้ทุกมหาวิทยาลัยต้องกำหนดให้มีการสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษก่อนสำเร็จการศึกษา เลยคิดว่าน่าจะเป็นการเริ่ม “ส่งสัญญาณ” ให้มหาวิทยาลัยต้องพัฒนาการจัดการเรียนการสอนและหาวิธีทำให้นิสิตนักศึกษาที่กำลังจะจบปริญญาตรีต้องพัฒนาภาษาอังกฤษไปให้ถึงระดับ B2 มากกว่า” “และในประกาศ ยังอ้างถึงที่มาว่า ... คณะรัฐมนตรี (28 พฤศจิกายน 2566) ได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือโครงการการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในทุกระดับการศึกษา .... ดังนั้น นโยบายนี้น่าจะมีความมุ่งหวังให้เกิดการยกระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษของคนไทยตั้งแต่ระดับการศึกษาขึ้นพื้นฐาน” อาจารย์จุฑารัตน์ อธิบายเนื้อหาที่สามารถตีความออกมาได้จากประกาศ เพื่อชี้ให้เห็นว่า แม้ประกาศจะระบุถึงเป้าหมายการกำหนดเกณฑ์ความสามารถของนิสิตนักศึกษาที่จะเรียนจบในระดับปริญญาตรี แต่ก็มีนัยยะของความพยายามที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลงไปถึงพื้นฐานของการศึกษาไทย คำถามข้อที่ 1 ...ระดับ B2 ใน CEFR คืออะไร นักศึกษาที่จะจบปริญญาตรีตามประกาศนี้ต้องมีทักษะในระดับไหน ทำอะไรได้บ้าง ? “ระดับ B2 ในเกณฑ์ CEFR คือ ระดับความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ที่ต้องสามารถใช้ภาษาเกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัวหรือเรื่องที่คุ้นเคยได้” อาจารย์จุฑารัตน์ นำคำอธิบายจากกรอบที่ใช้ในการประเมินตนเองของผู้เรียนมาอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า หากกำหนดให้ผู้ที่เรียนจบระดับปริญญาตรี จะต้องมีความสามารถทางภาษาระดับ CEFR B2 บัณฑิตคนนั้น จะต้องใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับไหน “ถ้าเป็นเรื่อง ... การฟัง ... จะต้องฟังการบรรยายภาษาอังกฤษที่มีความยาวพอสมควรได้ ต้องฟังและมีความเข้าใจมากพอที่จะสามารถจับประเด็นที่ซับซ้อนในเรื่องที่คุ้นเคยได้ สามารถติดตามรายการข่าวหรือรายการทั่วไปได้ สามารถดูภาพยนตร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษสำเนียงมาตรฐานได้ .... ถ้าเป็นเรื่อง ... การพูด ... ในระดับ B2 บอกว่า จะต้องสามารถคุยและโต้ตอบกับเจ้าของภาษาได้ สามารถร่วมพูดคุยหรืออภิปรายด้วยภาษาอังกฤษในหัวข้อที่คุ้นเคยได้ เป็นต้น” เมื่อดูจากหลักเกณฑ์การประเมินเพื่อผ่านระดับ B2 ในทักษะการฟังและการพูดแล้ว อาจารย์จุฑารัตน์ ระบุว่า B2 คือ ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษในบริบทที่เป็นเรื่องใกล้ตัว แม้ในสภาวะปัจจุบัน อาจจะยังมองเป็นระดับที่ยากสำหรับเด็กไทยส่วนใหญ่ แต่ระบบการศึกษาต้องมีกระบวนการที่ทำให้ B2 เป็นระดับที่ควรต้องทำให้ได้ ไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่สูงเกินไป ซึ่งตอนนี้ กระทรวงศึกษาธิการก็ได้มีการกำหนดเป้าหมายไล่ขึ้นมาทีละระดับแล้ว เช่น จบ ป.6 ต้องใช้ภาษาได้ในระดับ A1 ,จบ ม.3 ระดับ A2 ,จบ ม.6 หรือ ปวช. ต้องได้ระดับ B1 หากพัฒนาได้ตามนี้จริงตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นิสิตนักศึกษาก็จะมีเวลา 4 ปี ในมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาจากระดับ B1 ไปสู่ B2 คำถามที่ 2 ...การศึกษาขั้นพื้นฐานของไทย มีศักยภาพพอที่จะทำให้เด็กไทยทุกคนมีทักษะภาษาอังกฤษไปถึงระดับที่ต้องการหรือไม่ ? “เมื่อปี 2557 ประเทศไทยเคยมีประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง นโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ แต่การดำเนินการไม่ต่อเนื่อง” นโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ที่ประกาศไว้เมื่อปี 2557 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คือหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ อาจารย์จุฑารัตน์ ค้นหามาเพื่อยืนยันว่ากระทรวงศึกษาธิการ เคยมีความพยายามที่จะผลักดันนโยบายการยกระดับทักษะภาษาอังกฤษของเด็กไทยมาแล้ว โดยในเอกสารแนวปฏิบัติฯ เมื่อปี 2557 ระบุว่า ... ปี 2557 กระทรวงศึกษาธิการกำหนดนโยบายปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ อาจารย์จุฑารัตน์ ทบทวนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาตลอด 10 ปี ตั้งแต่ปี 2557 – 2567 โดยเล่าว่า สิ่งที่ดูจะเป็นผลจากประกาศกระทรวงศึกษาธิการเมื่อปี 2557 คือ โรงเรียนหลายแห่งมีการเปิดห้องเรียนพิเศษที่พัฒนาภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น ซึ่งเป็นการพัฒนาในรูปแบบของห้องเรียนพิเศษ ซึ่งไม่ใช่คำนิยามของคำว่า การศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ทุกคนควรเข้าถึงได้ อย่างเช่น ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของสาธารณสุขที่ทำให้ทุกคนต้องเข้าถึงได้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ “โจทย์สำคัญที่ต้องตอบให้ได้ก็คือ หากประเทศไทยต้องการให้ “คนไทยทุกคน” มีทักษะภาษาอังกฤษไปถึงระดับ B2 เมื่อเรียนจบปริญญาตรี เราจะต้องทำให้การสอนภาษาอังกฤษในระดับชั้นต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนอย่างเป็นขั้นบันไดตั้งแต่ชั้น ป.1 ไปจนจบ ม.6 หรือ ปวช. ได้อย่างไร และสำคัญมากกว่าคือทำอย่างไรให้เป็นการพัฒนาที่เกิดขึ้นใน ... ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งในโรงเรียนของรัฐและเอกชน ... ไม่ใช่มีสอนแค่ในห้องเรียนพิเศษที่ต้องผ่านการคัดเลือกแบบพิเศษ และต้องจ่ายเงินเพิ่มมากกว่าการเรียนหลักสูตรปกติ” ปัจจัยสำคัญที่ อาจารย์จุฑารัตน์ เห็นว่า ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับการปรับการเรียนการสอนของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและของมหาวิทยาลัย คือ การผลิตและพัฒนาครู เพื่อให้เรามีครูไทยที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารและการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องพึ่งครูต่างชาติ “หากย้อนกลับไป ปี 2544 เรามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกี่ยวกับการสอนภาษาอังกฤษ โดยกำหนดให้ทุกโรงเรียนต้องเริ่มสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้น ป.1 แต่นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน เราเตรียมครูไม่ทัน” อาจารย์จุฑารัตน์ บอกต่อว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป ไม่มีการเตรียมการมากพอ แม้จะมีเจตนาที่ดีที่จะให้นักเรียนได้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษเร็วขึ้น แต่โรงเรียนประถมส่วนใหญ่ไม่มีบุคลากรครูที่เรียนจบมาเพื่อสอนภาษาอังกฤษโดยตรงเพียงพอ จึงทำให้ต้องใช้ครูจากสาขาวิชาอื่นไปสอนภาษาอังกฤษ และจนมาถึงปัจจุบันนี้เชื่อว่าเรายังคงมีครูสอนภาษาอังกฤษที่ต้องพัฒนาภาษาอังกฤษเพิ่มอีกมาก “เมื่อเรามีเป้าหมายที่จะทำให้เด็กไทยต้องเก่งภาษาอังกฤษ จะจบปริญญาตรีต้องผ่านเกณฑ์ระดับ B2 เราก็ต้องทำให้โรงเรียนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะโรงเรียนของรัฐมีศักยภาพในการพัฒนาภาษาอังกฤษของนักเรียนไล่ไปตั้งแต่ชั้นประถม มัธยม ดังนั้น คณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันผลิตครู ต้องช่วยพัฒนาเรื่องนี้อย่างจริงจัง” อาจารย์ยกตัวอย่าง โครงการพัฒนาครูภาษาอังกฤษที่จัดเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ชื่อโครงการ Boot Camp ซึ่งมีการทดสอบความสามารถครูภาษาอังกฤษทั่วประเทศ แล้วคัดครูที่มีความสามารถสูงเข้ามาอบรมเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารแบบเข้มข้น โดยหวังให้ครูกลุ่มนี้เป็นแม่ข่ายออกไปช่วยอบรมครูในเขตพื้นที่การศึกษาที่ตัวเองสังกัดให้มีศักยภาพสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ก็ทำอยู่ได้แค่ 2-3 ปี ก็หยุดไป ปัจจุบัน กระทรวงศึกษาธิการมีความพยายามจะพัฒนาภาษาอังกฤษให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาในทุกวิชาเอก ผ่านการทำงานของศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (Human Capital Excellence Center : HCEC) ที่จัดตั้งขึ้นทั่วประเทศ และมีการสร้างแรงจูงใจให้ครูพัฒนาภาษาอังกฤษ โดยครูที่มีสมรรถนะภาษาอังกฤษเทียบเท่า CEFR ระดับ B2 ขึ้นไป จะสามารถลดระยะเวลาในการขอเลื่อนวิทยฐานะ ทำให้ดำเนินการได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ในหลักสูตรปริญญาตรี ครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ ก็มีการกำหนดให้ทุกวิชาเอกต้องเรียนภาษาอังกฤษสำหรับการจัดการเรียนการสอนด้วย “ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมา เราจะเห็นว่า เป็นกลยุทธ์ที่ใช้สร้างแรงจูงใจให้ครูไปพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเองมากกว่า ยังไม่ใช่การจัดการกับระบบการผลิตครูใหม่หรือการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของครูประจำการแบบเป็นองค์รวมเพื่อให้ปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้ทั้งระบบอย่างแท้จริง” “แนวคิดการสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบัน ควรเน้นการพัฒนาสมรรถนะในการสื่อสาร สอนให้ใช้ภาษาได้จริง ในหลายโรงเรียนมีการจ้างครูชาวต่างชาติมาช่วยสอนและสร้างบรรยากาศในการใช้ภาษาอังกฤษให้กับผู้เรียน แต่มีการบริหารจัดการที่น่าเป็นกังวล ในระดับ ม.ต้น ที่หลักสูตรกำหนดให้เด็กเรียนภาษาอังกฤษ 3 คาบต่อสัปดาห์ หลายโรงเรียนแบ่งคาบให้ครูไทยสอนไวยากรณ์ (Grammar) 2 คาบ และให้ครูต่างชาติมาสอนทักษะการสื่อสาร 1 คาบ เป็นการเรียนภาษาแบบแยกส่วน ในการเรียนภาษาเพื่อการสื่อสาร เราเรียนไวยากรณ์เพื่อใช้สื่อความหมายบางอย่าง ไม่ใช่เรียนเพื่อแค่รู้หลักไวยากรณ์” “พอเราสอนกันแบบนี้ และให้ความสำคัญกับการสอบที่เน้นวัดความรู้ทางไวยากรณ์มากกว่าการสื่อความหมาย เราสอนให้เด็กเรียนแต่กฎของภาษา ไม่ใช่เพื่อให้เด็กใช้ภาษาอังกฤษไปคุยเล่นได้ ใช้ไปดูหนังฟังเพลงได้ ก็ทำให้เด็กไม่สนุก ไม่อยากเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งที่จริงๆ แล้วผู้เรียนจะมีพัฒนาการทางภาษาได้เองถ้าได้สนุกกับการใช้ภาษา ห้องเรียนภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ของเรายังไม่มีบรรยากาศแบบนั้น” คือปัญหาที่ อาจารย์จุฑารัตน์ ชี้ให้เห็นประเด็นที่ต้องแก้ไขตั้งแต่ระบบการผลิตและพัฒนาครู การจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึ่งเป็นวงจรเชื่อมต่อกัน “ในฐานะนักครุศึกษาด้านการสอนภาษาอังกฤษ เห็นด้วยกับความพยายามของรัฐที่จะยกระดับทักษะภาษาอังกฤษของเด็กไทย เพราะภาษาอังกฤษ เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ก็ขับเคลื่อนในเรื่องนี้” “ถ้าวันนี้ เรากำหนดให้ทักษะภาษาอังกฤษ ในระดับ B2 เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำของบัณฑิตปริญญาตรี เด็กไทยทุกคนก็ควรจะได้รับการพัฒนาเรื่องนี้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ตั้งแต่การเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จนถึงมหาวิทยาลัย” “การผลิตและพัฒนาครูต้องกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาภาษาอังกฤษของครูไทยที่ชัดเจน ทำให้ครูมีทักษะภาษาอังกฤษมากพอที่จะสอนเด็กในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ห้องเรียนแบบ English Program ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการสอนในวิชาเนื้อหาบางวิชา ควรเป็นห้องเรียนที่นักเรียนทุกคนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงได้ทั้งในโรงเรียนของรัฐและเอกชน ส่วนหลักสูตรพิเศษที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ก็อาจยกระดับคุณภาพให้สูงไปกว่านั้นได้” ผศ.ดร.จุฑารัตน์ ทิ้งท้าย รายงานโดย : สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา ข่าวข่าว : SONP ชวนส่งผลงานประกวด “ข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม 2567” เปิดมิติแห่งการพัฒนา "เยาวชนผู้พิการ-ผู้ด้อยโอกาส" ด้วยศิลปะ
17 มกราคม 2567 คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา (กมอ.) ออกประกาศเรื่อง นโยบายการยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤ
สิ่งอำนวยความสะดวก
การตกแต่ง
เครื่องปรับอากาศ
ชั้นบน
เตาอบ/ไมโครเวฟ
ความสะดวกโดยรอบ
กล้องวงจรปิด
เครืองปรับอากาศ
โถงรอลิฟท์ร้านอาหาร
ทางเข้าหลัก
ยอดสินเชื่อโดยประมาณ
รายละเอียดสินเชื่อ
ยอดสินเชื่อที่ต้องชำระต่อเดือนโดยประมาณ
฿ 0 / เดือน
฿ 0 เงินต้น
฿ 0 ดอกเบี้ย
ค่าใช้จ่ายที่อาจต้องมีเบื้องต้น
เงินดาวน์ทั้งหมด
฿ 0
เงินดาวน์
จำนวนสินเชื่อ ฿ 0 ในอัตรา 0% ของสินเชื่อต่อราคาบ้าน (Loan-to-value)
แอดมินเพจเฟซบุ๊ก "ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง" ให้ข้อมูลว่

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2565 สำนักข่าว AFP รายงานว่า กรุงแบกแดดเมืองหลวงของอิรัก เผชิญกับพายุทรายที่พัดถล่มในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ทัศนวิสัยในเมืองลดลงอย่างมาก ตำรวจต้องจัดการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภั
ดูรายละเอียดโครงการคำถามที่พบบ่อย
วันนี้ (1 ก.ค.2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สถาบันคชบาลแห่งชาติ หรือ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง นา
สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารทาป่าเปา ตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ช่วยกันผลิตหมูและไก
วันที่ 26 เม.ย.2564 กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยข้อมูลจังหวัดที่ขอความร่วมมือประชาชนงดออกนอกเคหสถาน 5 จังห
การแข่งขันวอลเลย์บอลเนชันส์ลีก นัดที่ 2 สัปดาห์ที่ 2 ประเทศบราซิล ทีมสาวไทย ได้พักไม่ถึง 24 ชม. จากเ
วันนี้ (11 ก.ค.2564) กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดหน่วยบริการตรวจเชิงรุก COVID-1
ค้นหาประกาศอื่นรอบๆ ทุ่งพญาไท
จากสิ่งที่คุณค้นหา คุณอาจจะสนใจตัวเลือกต่อไปนี้
รวม สล็อต ทุก ค่าย
mega888 download apk android