เปิด ยูสเซอร์ ฟรีเครดิต ไม่ต้องฝาก
วันนี้ (10 เม.ย.2565) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้า
฿63905
บาท5
ห้องนอน
44
ห้องน้ำ
431
ตร.ม.
฿ 9720
/ ตารางเมตร
เปิด ยูสเซอร์ ฟรีเครดิต ไม่ต้องฝาก
กรณีนักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างใน ต.บ้านหม้อ อ.เมืองเ
UID: 98537
วันนี้ (13 ธ.ค.2564) นายศิริพงศ์ พฤทธิพันธุ์ รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการซ่อมบำรุง รถจักรและล้อเลื่อน
เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2565 มะนาวศรีทองดำ ถือเป็นมะนาวกินได้ทั้งเปลือกหนึ่งเดียวในไทย โดยจะให้รสเปรี้ยว
ตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล 2566 – 2570 รัฐบาลไทยมุ่งเน้นอยากจะเป็น “Digital Government” เพื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัลยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพตอบสนองประชาชนเพื่อให้ได้รับความสะดวก สบาย ลดความเหลื่อมล้ำ และจนถึงขณะนี้ ไทยเป็นรัฐบาลดิจิทัลหรือยัง…อะไรเป็นสิ่งบ่งชี้ได้ว่าประเทศไทยเข้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล...? "รายการคุยนอกกรอบ กับ สุทธิชัย หยุ่น" จับเข่าคุยกับ ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้คร่ำหวอดด้านสตาร์ทอัพ ในฐานะอดีตนายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (THAI STARTUP) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม และยังเป็น CEO ผู้ก่อตั้ง iTAX แอพพิเคชั่นการคำนวณภาษี ...และทำให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วการเป็นรัฐบาลดิจิทัล จะต้องมีการพัฒนาไปทิศทางใด เพื่อตอบโจทย์ประชาชนในฐานะกลุ่มเป้าหมาย ผศ.ยุทธนา มองว่า ทุกครั้งที่มีโจทย์ ความเสียเปรียบของไทย คือ การพัฒนาเทคโนโลยี โดยภาครัฐชอบคิดว่าจะต้องเป็นฮีโร่ หรือเป็นเจ้าภาพ และมีแค่รัฐเท่านั้นที่ทำบริการได้ทั้งที่ความเป็นจริง บริการภาครัฐหลาย ๆ ครั้ง สามารถให้สตาร์ทอัพ มาช่วยแก้ปัญหาได้เหมือนกัน…เช่น เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ตอนที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่า กทม. ใหม่ ๆ มีหลายร้อยนโยบายว่า จะมีวางระบบอย่างไร และได้ขอให้เอกชนมาช่วยกัน "ตอนนั้น ผมอยู่สมาคมไทยสตาร์ทอัพ ก็พาพรรคพวกไปคุยกับกทม.ว่ามีโจทย์อะไรที่อยากแก้ไข เขาบอกมีประมาณ 200 นโยบาย จากนั้นก็ไปถามสมาชิกสตาร์ทอัพรายไหนสนใจโจทย์ข้อไหนบ้าง ปรากฏว่ามีสมาชิกเข้ามาแก้ปัญหา 50-60 เรื่อง ทั้งเรื่องการศึกษา หลักสูตร e-Learning การเรียนดนตรี ผ่านเครื่องมือและโซลูชั่นของสตาร์ทอัพ" เมื่อภาครัฐมีโจทย์มาให้สตาร์ทอัพ ผศ.ดร.ยุทธนา เชื่อว่าสตาร์ทอัพจะหาวิธีแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ "สตาร์ทอัพเราหิวปัญหามากเลย อยากเจอจุดอ่อน เพื่อทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการแก้ปัญหา" ซึ่งจะต่างจากการที่ภาครัฐจ้างหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งในการทำระบบโครงสร้างที่ต้องการ แต่จะถูกกำหนดด้วยทีโออาร์ ก็จะติดอุปสรรคเมื่อหน่วยงานที่ถูกจ้างเจอกับอุปสรรค หรือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างจัดทำ แต่ไม่สามารถที่จะแก้ได้ เนื่องด้วยถูกกำหนดไว้ด้วยขอบเขตของการจ้างงาน "สมมุติว่า ผมเป็นหน่วยงานที่รับงานจากภาครัฐมา ก็ไม่กล้าทำข้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คือ เกรงทำไปแล้วเกิดไม่ตรวจรับจะมีปัญหา เพราะผิดสเปค ข้อสองไม่มีแรงจูงใจที่จะทำสิ่งนั้น ผมทำครบตามข้อกำหนดแล้ว จะทำต่อไปทำไม ซึ่งต่างจากสตาร์ทอัพที่เราชอบแก้ปัญหา ยิ่งเจอปัญหา ยิ่งต้องหาทางแก้" ถามว่าตอนนี้รัฐบาล เป็น "รัฐบาลดิจิทัล" หรือยัง…หลาย ๆ เรื่องเริ่มดีขึ้น แต่ก็อาจจะติดขัดเพื่อเอื้อเอกชนบางส่วน เห็นได้จากเวลาที่มีแพลตฟอร์จากต่างประ เทศจะได้รับการสนับสนุนอย่างดี จากหน่วยงานราชการไทย แต่หากเป็นเทคโน โลยีสตาร์ทอัพที่เกิดจากแนวคิดของคนไทย กลับถูกมองเป็นการเอื้อประโยชน์ ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่ง ทำให้มีการตั้งคำถามมาตลอด ผศ.ดร.ยุทธนา เล่าว่า มีรุ่นพี่สตาร์ทอัพ เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วได้ทำระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ หรือ ระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ ปรากฏหน่วยงานกิจการโทรคมนาคมมาปิดระบบทันที โดยอ้างเป็นเรื่องของความมั่นคง พอผ่านไปไม่นานก็มีแพลตฟอร์ม Skype จากต่างประเทศแพร่หลาย เข้ามาใช้ในประเทศไทย ทั้งที่คนไทยสร้างได้ก่อน แต่กลับไม่ได้ใช้ของคนไทย แต่กลับเปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติเป็นผู้นำเทคโนโลยีเข้ามาแทน "อนาคตไม่มีทางที่จะถอยกลับมาเป็นอนาล็อก มีแต่จะวิ่งไปข้างหน้าเพื่อให้ง่ายและสะดวกเพิ่มขึ้น" จึงเป็นเหตุผลที่ประเทศไทยจะต้องพัฒนาเทคโนโลยี คิดเพียงว่า 1 เทค โนโลยี จะสามารถแก้ปัญหาได้ 1 เรื่อง หากเรามีเทคโนโลยีดี ๆ หลายตัว ก็จะแก้ปัญหาได้มากมาย แต่เมื่อไปดูตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังไม่พบหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นเมดอินไทยแลนด์ เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook) , กูเกิล (Google) , เมตา (Meta) สิ่งเหล่านี้กลายเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ได้ว่า ไทยยังขาดการสัญญาณการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา สอดรับ และหากต้องการหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง เป็นประเทศพัฒนาที่พุ่งทะยานไปข้างหน้า คงหนี้ไม่พ้น การสร้างเทคโนโลยี หรือสตาร์ทอัพ ที่สร้างมูลค่ารายได้อย่างมหาศาล แม้ราชกิจจานุเบกษา จะประกาศยกเลิกการเรียกสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน ตามประกาศกรมการปกครอง เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2564 เพื่อรองรับการเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยให้ประชาชนยื่นบัตรประชาชนแบบสมาร์ท การ์ดที่มีข้อมูลแทน แต่ก็ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่ยังต้องใช้ ดังนั้น แม้จะมีระเบียบออกมาแล้ว ส่วนหนึ่งเกิดจากทัศนคติของข้าราชการในการจัดการ ที่มีความกังวลในเรื่องการรับผิด อีกทั้งความเคยชินที่มีการปฏิบัติมานานหลายสิบปี "เรื่องแรกอาจต้องเปลี่ยน คือ มายเซ็ท ของคนที่ทำงานตรงนั้น องค์กรควรสื่อสารให้เห็นทิศทางรัฐบาลในการเป็น Digital Government บางครั้งฝ่ายบริหารมีการประกาศมาแล้ว มีนโยบายมาแล้ว แต่เมื่อไปถึงหน้างาน เจ้าหน้าที่กลับบอกว่าไม่ทราบเรื่อง ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องสื่อสารภายในองค์กร" นอกจากนี้ การที่กระดาษหายไปจะบ่งชี้ว่าไทยเข้าสู่ Digital Government อย่างเป็นรูปธรรมหริอไม่ แต่หลายองค์กรยังมีการเก็บเอกสารข้อมูลไว้ไม่ต่ำกว่า 10 – 15 ปี จึงต้องถามก่อนว่า การเก็บเอกสารดังกล่าวเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงในการยืนยันการทำธุรกรรมเท่านั้น "สรรพากร" ควรเป็นหน่วยงานนำร่อง เนื่องด้วยเป็นหน่วยงานที่น่าจะใช้กระดาษมากที่สุด ด้วยการหันมาเปลี่ยนใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และต้องยอมรับว่าเอก สารอิเล็กทรอนิกส์ เทียบเท่ากับเอกสารกระดาษ หากแก้ได้จะเห็นการเปลี่ยน แปลงในไทยเป็นวงกว้าง เช่นเดียวกับ "กรมที่ดิน" เอกสารสำคัญยังคงเป็นกระดาษ ทำให้ประชาชนใช้เวลาเกือบทั้งวันในการไปรอทำธุรกรรม "สามารถทำได้" โดยมีตัวอย่างของกรมที่ดินเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประกาศเป็นที่แรกของโลก ด้วยการสร้างระบบ blockchain เป็นฐานข้อ มูล เพื่อบันทึกสัญญาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด (โฉนดที่ดิน) รวมถึงการลงทะเบียนเช่าและเชื่อมโยงกับ Dubai Electricity & Water Authority (DEWA) ระบบโทรคมนาคมและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับตั๋วเงิน ประกอบด้วยฐานข้อมูลผู้เช่าส่วนบุคคลรวมทั้งบัตรประจำตัวของ Emirates และความถูกต้องของวีซ่าพำนักและช่วยให้ผู้เช่าสามารถชำระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่จำเป็นต้องเขียนเช็คหรือพิมพ์เอกสารใด ๆ กระบวนการทั้งหมดนี้สามารถดำเนินการทางอิเล็กทรอนิกส์ภายในไม่กี่นาทีได้ตลอดเวลาและจากที่ใดก็ได้ในโลกโดยไม่จำเป็นต้องไปที่องค์กรภาครัฐใด ๆ ..ที่สำคัญระบบดังกล่าวเป็นการร่วมกันคิดค้นจากสตาร์ทอัพร่วมกับหลายหน่วยงาน "Blockchain" ถือเป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล (Data Structure) ที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายผ่านการเข้ารหัสทางคอมพิวเตอร์ โดยข้อมูลที่ถูกบันทึกจะส่งต่อข้อมูลไปยังทุกคนในเครือข่าย ซึ่งยากต่อการปลอมแปลงข้อมูล จึงทำให้ถูกนำมาใช้ในฐานข้อมูลดังกล่าว "หลักการทำงาน เมื่อโฉนดที่ดินถูกรวบรวมไว้ในระบบ Blockchain เวลาเปลี่ยนมือจะเห็นเลยว่า จากบัญชีใคร ไปหาบัญชีใคร ดังนั้นการโอนกรรมสิทธิ์ไม่ต้องไปนั่งทำอะไรกันมากมาย เขาถือว่าใครเป็นเจ้าของตรงนี้มันจะสามารถตรวจสอบแบบย้อนหลังได้ว่าโฉนดนี้ออกเมื่อไหร่ ไปหาใคร แล้วตอนนี้ใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์" ระบบราชการไทยในปัจจุบัน หลายเรื่องมีจุดยืนให้ข้าราชการเป็นศูนย์กลาง ส่วนหนึ่งเพราะระเบียบที่ถูกต้องขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองก่อน ไม่ให้มีปัญหาการรับผิด ส่งผลให้เกิดกระบวนการที่ซับซ้อนมากหลายขั้นตอน เพื่อให้ข้าราชการทำ งานง่าย แต่ไม่ได้ให้ประชาชนได้รับบริการง่ายขึ้น ดังนั้นโจทย์ของไทยจะต้องปรับเปลี่ยนใหม่ คือ เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไทยถึงจะเป็น "Digital Government" ต้องยอมรับอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องด้วยการปรับเปลี่ยนระบบต่าง ๆ เป็นเรื่องนโยบายฝ่ายบริหาร แต่หากมองในมุมกลับ ประเทศชาติจะไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ แต่...ส่วนหนึ่งก็เริ่มมีความหวังกับการเมืองยุคใหม่ ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อยู่ในตำแหน่งสำคัญมากขึ้น ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น 8 ปีที่แล้วประเทศไทยรู้จักกับ "สตาร์ทอัพ" (เทคโนโลยีที่ใช้วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมขั้นสูงมาพัฒนา หรือโซลูชั่นเพื่อแก้ปัญหาสิ่งที่มีอยู่ในตลาด ขั้นตอนค้นคว้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มีความซับซ้อน มีสิทธิบัตรทางปัญญาคุ้มครอง ลอกเลียนแบบได้ยาก) เกิดความฮือฮาในหน่วยงานราชการ หลายคนเริ่มรู้จักการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในโลกของเรา แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่ได้มีแผนพัฒนาให้เกิดเป็นรูปธรรม เป็นเพียงการโปรโมทและจัดงานเท่านั้น แม้ปัจจุบันที่มีการแถลงนโยบายก็ยังไม่ได้มีเป้าหมายอย่างชัดเจนถึงทิศทางการก้าวเดินของไทย มีความน่ากังวลเมื่อปัจจุบัน "เทคโนโลยีเอไอ" เข้ามา มองว่าหากเรื่องสตาร์ทอัพยังตามไม่ทัน เราจะก้าวกระโดดในการพัฒนาเอไอไปเลยหรือไม่ หรือหากเราไม่สนใจทั้งสองอย่าง ก็เชื่อว่าเป็นความน่ากลัววันหนึ่งหากจะเริ่มก็อาจจะช้าไป โมเดลของประเทศจีนอย่างหนึ่ง ถ้าอันไหนจะทำไม่ทัน ก็ไม่ต้องไปตามเขา จะกระโดดไปเจเนอเรชั่นใหม่เลย ซึ่งเราอาจจะต้องทำแบบนั้น สมมุติเราสารภาพกันตรง ๆ ว่าระบบราชการบ้านเราเหมือนจะมีความช้านะ เราจะทำอย่างไรให้มันเร็วขึ้น เราอาจจะกระโดดไปอีกเจเนอเรชั่นใหม่ มันมีอะไรที่ทำงานได้บ้างหรือไม่ โดยต้องมีเป้าหมายว่า จะเริ่มจากอะไร หากตัดเอไอทิ้งไปก่อน ตัดทุกอย่างทิ้งไป เอาเป้าหมายก่อนว่า เราอยากได้อะไร สมมุติว่าเป้าหมายของเรา คือ อยากให้ประชาชนได้รับบริการภาครัฐที่สะดวกสบายมากขึ้น ถ้าประชาชนเป็นเป้าหมายหลัก เราก็มาดูกันต่อว่าเส้นทางที่เราจะไปตรงนี้ มีเครื่องมืออะไรที่แก้ได้บ้าง ถ้าเอไอ คือ คำตอบก็ใช้เอไอ ถ้าบล็อกเชน คือ คำตอบใช้บล็อกเชน ถ้าการใช้กระดาษเป็นคำตอบก็ใช้กระดาษ ผมไม่มีปัญหาใช้เครื่องมืออะไรก็ได้ แต่เอาประชาชนเป็นตัวตั้งก่อน ดังนั้นถ้าถามว่าเราจะเริ่มต้นจากอะไร ผมว่าเริ่มต้นจากประชาชนคุณไม่มีวันตอบคำถามนี้ผิด "จำได้ว่า ช่วงโควิดที่ผ่านมา หลายคนที่จะเข้าไปรับเงินเยียวยา ประเด็นคือผมมีคนที่ตกหล่น เพราะมีการลงทะเบียน ที่ต้องใช้เป็นสมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ ตัวหนังสือก็ตัวเล็กมาก การกรอกข้อมูลก็ยาก" เหตุผลที่ต้องให้ประชาชนลงทะเบียนทุกครั้งเมื่อเวลาที่มีรัฐสวัสดิการต่าง ๆ นั้นก็เพราะหน่วยงานหลักไม่มีข้อมูลที่ทำให้รู้ว่าจะต้องช่วยใคร หรือใครเป็นกลุ่มเป้าหมาย เนื่องด้วยไม่มีการแชร์ข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ กลายเป็นว่าต้องลงทะ เบียนซ้ำไปซ้ำมา "เปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา ใช้วิธีให้กรมสรรพากรเป็นเจ้าภาพ เปิด ยูสเซอร์ ฟรีเครดิต ไม่ต้องฝากเพราะมีข้อมูลทุกคนในประเทศ ใครบ้างควรได้รับความช่วยเหลือ เขาจะส่งเช็คเงินสดช่วยเหลือช่วงโควิด – 19 ไปที่บ้านเลย โดยไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องรับสาย และเขาจะสื่อสารไปว่า จะไม่มีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไปก่อน ถ้าโทรไปคือการหลอกลวง และอีกหลายประเทศก็เป็นแบบนี้" เรื่องนี้ถือเป็นความท้าทายของไทยในการควบรวมข้อมูลพื้นฐานประชาชน บนความขัดแย้งของหน่วยงานที่มีการหวงข้อมูลกันไว้ประมาณหนึ่ง…ถ้าให้มอง "กรมสรรพากร" อาจจะต้องเป็นหัวเรือใหญ่ในการรวมข้อมูล เนื่องด้วยมีข้อมูลของผู้ที่เสียภาษีอยู่แล้ว ส่วนข้อมูลของประชาชนบางส่วนที่อยู่ในหน่วยงานกรมปกครอง มหาดไทย , สำนักงานประกันสังคม ,กระทรวงแรงงาน จะต้องทำระบบที่สามารถซิงค์ข้อมูลได้ "หากจะทำเรื่อง Digital Government หรือ สตาร์ทอัพ ผมว่า Negative Income Tax หรือแนวคิดในการเก็บภาษีที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยในระบบนี้ หากบุคคลที่มีรายได้น้อยกว่าขีดจำกัดที่กำหนดไว้จะไม่ได้จ่ายภาษี เหมาะสมสุด ที่จะเริ่มจากตรงนี้ เพราะกระทบกับทุกคน ทั้งยังช่วยให้เห็นภาพทั้งหมดได้ ถ้าทำอะไรสักอย่าง แล้วเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด ที่จะเปลี่ยนระบบ" หากรัฐบาลเกรงว่า อาจจะต้องใช้เงินจำนวนมากในการเปลี่ยนแปลงระบบใหม่ แต่อย่างน้อยให้มองว่าเป็นการเริ่มต้นจากความตั้งใจดีตรงนี้ก่อนว่า อยากช่วย แล้ว นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น และหากติดเรื่องเทคโนโลยีมาคุยกับสตาร์ทอัพได้ เชื่อว่าจะมีทางเลือกให้แน่นอน อีกทั้งจะช่วยประหยัดเงินได้มาก แต่ก็หวังว่ารัฐบาลไม่ควรปล่อยเวลานานเกินไป เพราะเชื่อว่าการจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ในโลกยุคนี้ จะต้องมีเทคโนโลยีที่เป็นเมดอินไทยแลนด์เป็นของตัวเอง อย่างน้อยที่สุด ต้องมีสตาร์ทอัพที่เกิดจากคนในประเทศ ที่แก้ปัญหานี้ได้ พบกับรายการ:คุยนอกกรอบกับ สุทธิชัย หยุ่น ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 21.30-22.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
ตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล 2566 – 2570 รัฐบาลไทยมุ่งเน้นอยากจะเป็น “Digital Government” เพื่อใช้เทคโนโ
วันนี้ (13 ธ.ค.2564) นายศิริพงศ์ พฤทธิพันธุ์ รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการซ่อมบำรุง รถจักรและล้อเลื่อน
เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2565 มะนาวศรีทองดำ ถือเป็นมะนาวกินได้ทั้งเปลือกหนึ่งเดียวในไทย โดยจะให้รสเปรี้ยว
ตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล 2566 – 2570 รัฐบาลไทยมุ่งเน้นอยากจะเป็น “Digital Government” เพื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัลยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพตอบสนองประชาชนเพื่อให้ได้รับความสะดวก สบาย ลดความเหลื่อมล้ำ และจนถึงขณะนี้ ไทยเป็นรัฐบาลดิจิทัลหรือยัง…อะไรเป็นสิ่งบ่งชี้ได้ว่าประเทศไทยเข้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล...? "รายการคุยนอกกรอบ กับ สุทธิชัย หยุ่น" จับเข่าคุยกับ ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้คร่ำหวอดด้านสตาร์ทอัพ ในฐานะอดีตนายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (THAI STARTUP) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม และยังเป็น CEO ผู้ก่อตั้ง iTAX แอพพิเคชั่นการคำนวณภาษี ...และทำให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วการเป็นรัฐบาลดิจิทัล จะต้องมีการพัฒนาไปทิศทางใด เพื่อตอบโจทย์ประชาชนในฐานะกลุ่มเป้าหมาย ผศ.ยุทธนา มองว่า ทุกครั้งที่มีโจทย์ ความเสียเปรียบของไทย คือ การพัฒนาเทคโนโลยี โดยภาครัฐชอบคิดว่าจะต้องเป็นฮีโร่ หรือเป็นเจ้าภาพ และมีแค่รัฐเท่านั้นที่ทำบริการได้ทั้งที่ความเป็นจริง บริการภาครัฐหลาย ๆ ครั้ง สามารถให้สตาร์ทอัพ มาช่วยแก้ปัญหาได้เหมือนกัน…เช่น เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ตอนที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่า กทม. ใหม่ ๆ มีหลายร้อยนโยบายว่า จะมีวางระบบอย่างไร และได้ขอให้เอกชนมาช่วยกัน "ตอนนั้น ผมอยู่สมาคมไทยสตาร์ทอัพ ก็พาพรรคพวกไปคุยกับกทม.ว่ามีโจทย์อะไรที่อยากแก้ไข เขาบอกมีประมาณ 200 นโยบาย จากนั้นก็ไปถามสมาชิกสตาร์ทอัพรายไหนสนใจโจทย์ข้อไหนบ้าง ปรากฏว่ามีสมาชิกเข้ามาแก้ปัญหา 50-60 เรื่อง ทั้งเรื่องการศึกษา หลักสูตร e-Learning การเรียนดนตรี ผ่านเครื่องมือและโซลูชั่นของสตาร์ทอัพ" เมื่อภาครัฐมีโจทย์มาให้สตาร์ทอัพ ผศ.ดร.ยุทธนา เชื่อว่าสตาร์ทอัพจะหาวิธีแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ "สตาร์ทอัพเราหิวปัญหามากเลย อยากเจอจุดอ่อน เพื่อทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการแก้ปัญหา" ซึ่งจะต่างจากการที่ภาครัฐจ้างหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งในการทำระบบโครงสร้างที่ต้องการ แต่จะถูกกำหนดด้วยทีโออาร์ ก็จะติดอุปสรรคเมื่อหน่วยงานที่ถูกจ้างเจอกับอุปสรรค หรือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างจัดทำ แต่ไม่สามารถที่จะแก้ได้ เนื่องด้วยถูกกำหนดไว้ด้วยขอบเขตของการจ้างงาน "สมมุติว่า ผมเป็นหน่วยงานที่รับงานจากภาครัฐมา ก็ไม่กล้าทำข้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คือ เกรงทำไปแล้วเกิดไม่ตรวจรับจะมีปัญหา เพราะผิดสเปค ข้อสองไม่มีแรงจูงใจที่จะทำสิ่งนั้น ผมทำครบตามข้อกำหนดแล้ว จะทำต่อไปทำไม ซึ่งต่างจากสตาร์ทอัพที่เราชอบแก้ปัญหา ยิ่งเจอปัญหา ยิ่งต้องหาทางแก้" ถามว่าตอนนี้รัฐบาล เป็น "รัฐบาลดิจิทัล" หรือยัง…หลาย ๆ เรื่องเริ่มดีขึ้น แต่ก็อาจจะติดขัดเพื่อเอื้อเอกชนบางส่วน เห็นได้จากเวลาที่มีแพลตฟอร์จากต่างประ เทศจะได้รับการสนับสนุนอย่างดี จากหน่วยงานราชการไทย แต่หากเป็นเทคโน โลยีสตาร์ทอัพที่เกิดจากแนวคิดของคนไทย กลับถูกมองเป็นการเอื้อประโยชน์ ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่ง ทำให้มีการตั้งคำถามมาตลอด ผศ.ดร.ยุทธนา เล่าว่า มีรุ่นพี่สตาร์ทอัพ เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วได้ทำระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ หรือ ระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ ปรากฏหน่วยงานกิจการโทรคมนาคมมาปิดระบบทันที โดยอ้างเป็นเรื่องของความมั่นคง พอผ่านไปไม่นานก็มีแพลตฟอร์ม Skype จากต่างประเทศแพร่หลาย เข้ามาใช้ในประเทศไทย ทั้งที่คนไทยสร้างได้ก่อน แต่กลับไม่ได้ใช้ของคนไทย แต่กลับเปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติเป็นผู้นำเทคโนโลยีเข้ามาแทน "อนาคตไม่มีทางที่จะถอยกลับมาเป็นอนาล็อก มีแต่จะวิ่งไปข้างหน้าเพื่อให้ง่ายและสะดวกเพิ่มขึ้น" จึงเป็นเหตุผลที่ประเทศไทยจะต้องพัฒนาเทคโนโลยี คิดเพียงว่า 1 เทค โนโลยี จะสามารถแก้ปัญหาได้ 1 เรื่อง หากเรามีเทคโนโลยีดี ๆ หลายตัว ก็จะแก้ปัญหาได้มากมาย แต่เมื่อไปดูตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังไม่พบหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นเมดอินไทยแลนด์ เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook) , กูเกิล (Google) , เมตา (Meta) สิ่งเหล่านี้กลายเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ได้ว่า ไทยยังขาดการสัญญาณการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา สอดรับ และหากต้องการหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง เป็นประเทศพัฒนาที่พุ่งทะยานไปข้างหน้า คงหนี้ไม่พ้น การสร้างเทคโนโลยี หรือสตาร์ทอัพ ที่สร้างมูลค่ารายได้อย่างมหาศาล แม้ราชกิจจานุเบกษา จะประกาศยกเลิกการเรียกสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน ตามประกาศกรมการปกครอง เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2564 เพื่อรองรับการเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยให้ประชาชนยื่นบัตรประชาชนแบบสมาร์ท การ์ดที่มีข้อมูลแทน แต่ก็ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่ยังต้องใช้ ดังนั้น แม้จะมีระเบียบออกมาแล้ว ส่วนหนึ่งเกิดจากทัศนคติของข้าราชการในการจัดการ ที่มีความกังวลในเรื่องการรับผิด อีกทั้งความเคยชินที่มีการปฏิบัติมานานหลายสิบปี "เรื่องแรกอาจต้องเปลี่ยน คือ มายเซ็ท ของคนที่ทำงานตรงนั้น องค์กรควรสื่อสารให้เห็นทิศทางรัฐบาลในการเป็น Digital Government บางครั้งฝ่ายบริหารมีการประกาศมาแล้ว มีนโยบายมาแล้ว แต่เมื่อไปถึงหน้างาน เจ้าหน้าที่กลับบอกว่าไม่ทราบเรื่อง ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องสื่อสารภายในองค์กร" นอกจากนี้ การที่กระดาษหายไปจะบ่งชี้ว่าไทยเข้าสู่ Digital Government อย่างเป็นรูปธรรมหริอไม่ แต่หลายองค์กรยังมีการเก็บเอกสารข้อมูลไว้ไม่ต่ำกว่า 10 – 15 ปี จึงต้องถามก่อนว่า การเก็บเอกสารดังกล่าวเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงในการยืนยันการทำธุรกรรมเท่านั้น "สรรพากร" ควรเป็นหน่วยงานนำร่อง เนื่องด้วยเป็นหน่วยงานที่น่าจะใช้กระดาษมากที่สุด ด้วยการหันมาเปลี่ยนใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และต้องยอมรับว่าเอก สารอิเล็กทรอนิกส์ เทียบเท่ากับเอกสารกระดาษ หากแก้ได้จะเห็นการเปลี่ยน แปลงในไทยเป็นวงกว้าง เช่นเดียวกับ "กรมที่ดิน" เอกสารสำคัญยังคงเป็นกระดาษ ทำให้ประชาชนใช้เวลาเกือบทั้งวันในการไปรอทำธุรกรรม "สามารถทำได้" โดยมีตัวอย่างของกรมที่ดินเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประกาศเป็นที่แรกของโลก ด้วยการสร้างระบบ blockchain เป็นฐานข้อ มูล เพื่อบันทึกสัญญาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด (โฉนดที่ดิน) รวมถึงการลงทะเบียนเช่าและเชื่อมโยงกับ Dubai Electricity & Water Authority (DEWA) ระบบโทรคมนาคมและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับตั๋วเงิน ประกอบด้วยฐานข้อมูลผู้เช่าส่วนบุคคลรวมทั้งบัตรประจำตัวของ Emirates และความถูกต้องของวีซ่าพำนักและช่วยให้ผู้เช่าสามารถชำระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่จำเป็นต้องเขียนเช็คหรือพิมพ์เอกสารใด ๆ กระบวนการทั้งหมดนี้สามารถดำเนินการทางอิเล็กทรอนิกส์ภายในไม่กี่นาทีได้ตลอดเวลาและจากที่ใดก็ได้ในโลกโดยไม่จำเป็นต้องไปที่องค์กรภาครัฐใด ๆ ..ที่สำคัญระบบดังกล่าวเป็นการร่วมกันคิดค้นจากสตาร์ทอัพร่วมกับหลายหน่วยงาน "Blockchain" ถือเป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล (Data Structure) ที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายผ่านการเข้ารหัสทางคอมพิวเตอร์ โดยข้อมูลที่ถูกบันทึกจะส่งต่อข้อมูลไปยังทุกคนในเครือข่าย ซึ่งยากต่อการปลอมแปลงข้อมูล จึงทำให้ถูกนำมาใช้ในฐานข้อมูลดังกล่าว "หลักการทำงาน เมื่อโฉนดที่ดินถูกรวบรวมไว้ในระบบ Blockchain เวลาเปลี่ยนมือจะเห็นเลยว่า จากบัญชีใคร ไปหาบัญชีใคร ดังนั้นการโอนกรรมสิทธิ์ไม่ต้องไปนั่งทำอะไรกันมากมาย เขาถือว่าใครเป็นเจ้าของตรงนี้มันจะสามารถตรวจสอบแบบย้อนหลังได้ว่าโฉนดนี้ออกเมื่อไหร่ ไปหาใคร แล้วตอนนี้ใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์" ระบบราชการไทยในปัจจุบัน หลายเรื่องมีจุดยืนให้ข้าราชการเป็นศูนย์กลาง ส่วนหนึ่งเพราะระเบียบที่ถูกต้องขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองก่อน ไม่ให้มีปัญหาการรับผิด ส่งผลให้เกิดกระบวนการที่ซับซ้อนมากหลายขั้นตอน เพื่อให้ข้าราชการทำ งานง่าย แต่ไม่ได้ให้ประชาชนได้รับบริการง่ายขึ้น ดังนั้นโจทย์ของไทยจะต้องปรับเปลี่ยนใหม่ คือ เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไทยถึงจะเป็น "Digital Government" ต้องยอมรับอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องด้วยการปรับเปลี่ยนระบบต่าง ๆ เป็นเรื่องนโยบายฝ่ายบริหาร แต่หากมองในมุมกลับ ประเทศชาติจะไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ แต่...ส่วนหนึ่งก็เริ่มมีความหวังกับการเมืองยุคใหม่ ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อยู่ในตำแหน่งสำคัญมากขึ้น ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น 8 ปีที่แล้วประเทศไทยรู้จักกับ "สตาร์ทอัพ" (เทคโนโลยีที่ใช้วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมขั้นสูงมาพัฒนา หรือโซลูชั่นเพื่อแก้ปัญหาสิ่งที่มีอยู่ในตลาด ขั้นตอนค้นคว้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มีความซับซ้อน มีสิทธิบัตรทางปัญญาคุ้มครอง ลอกเลียนแบบได้ยาก) เกิดความฮือฮาในหน่วยงานราชการ หลายคนเริ่มรู้จักการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในโลกของเรา แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่ได้มีแผนพัฒนาให้เกิดเป็นรูปธรรม เป็นเพียงการโปรโมทและจัดงานเท่านั้น แม้ปัจจุบันที่มีการแถลงนโยบายก็ยังไม่ได้มีเป้าหมายอย่างชัดเจนถึงทิศทางการก้าวเดินของไทย มีความน่ากังวลเมื่อปัจจุบัน "เทคโนโลยีเอไอ" เข้ามา มองว่าหากเรื่องสตาร์ทอัพยังตามไม่ทัน เราจะก้าวกระโดดในการพัฒนาเอไอไปเลยหรือไม่ หรือหากเราไม่สนใจทั้งสองอย่าง ก็เชื่อว่าเป็นความน่ากลัววันหนึ่งหากจะเริ่มก็อาจจะช้าไป โมเดลของประเทศจีนอย่างหนึ่ง ถ้าอันไหนจะทำไม่ทัน ก็ไม่ต้องไปตามเขา จะกระโดดไปเจเนอเรชั่นใหม่เลย ซึ่งเราอาจจะต้องทำแบบนั้น สมมุติเราสารภาพกันตรง ๆ ว่าระบบราชการบ้านเราเหมือนจะมีความช้านะ เราจะทำอย่างไรให้มันเร็วขึ้น เราอาจจะกระโดดไปอีกเจเนอเรชั่นใหม่ มันมีอะไรที่ทำงานได้บ้างหรือไม่ โดยต้องมีเป้าหมายว่า จะเริ่มจากอะไร หากตัดเอไอทิ้งไปก่อน ตัดทุกอย่างทิ้งไป เอาเป้าหมายก่อนว่า เราอยากได้อะไร สมมุติว่าเป้าหมายของเรา คือ อยากให้ประชาชนได้รับบริการภาครัฐที่สะดวกสบายมากขึ้น ถ้าประชาชนเป็นเป้าหมายหลัก เราก็มาดูกันต่อว่าเส้นทางที่เราจะไปตรงนี้ มีเครื่องมืออะไรที่แก้ได้บ้าง ถ้าเอไอ คือ คำตอบก็ใช้เอไอ ถ้าบล็อกเชน คือ คำตอบใช้บล็อกเชน ถ้าการใช้กระดาษเป็นคำตอบก็ใช้กระดาษ ผมไม่มีปัญหาใช้เครื่องมืออะไรก็ได้ แต่เอาประชาชนเป็นตัวตั้งก่อน ดังนั้นถ้าถามว่าเราจะเริ่มต้นจากอะไร ผมว่าเริ่มต้นจากประชาชนคุณไม่มีวันตอบคำถามนี้ผิด "จำได้ว่า ช่วงโควิดที่ผ่านมา หลายคนที่จะเข้าไปรับเงินเยียวยา ประเด็นคือผมมีคนที่ตกหล่น เพราะมีการลงทะเบียน ที่ต้องใช้เป็นสมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ ตัวหนังสือก็ตัวเล็กมาก การกรอกข้อมูลก็ยาก" เหตุผลที่ต้องให้ประชาชนลงทะเบียนทุกครั้งเมื่อเวลาที่มีรัฐสวัสดิการต่าง ๆ นั้นก็เพราะหน่วยงานหลักไม่มีข้อมูลที่ทำให้รู้ว่าจะต้องช่วยใคร หรือใครเป็นกลุ่มเป้าหมาย เนื่องด้วยไม่มีการแชร์ข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ กลายเป็นว่าต้องลงทะ เบียนซ้ำไปซ้ำมา "เปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา ใช้วิธีให้กรมสรรพากรเป็นเจ้าภาพ เปิด ยูสเซอร์ ฟรีเครดิต ไม่ต้องฝากเพราะมีข้อมูลทุกคนในประเทศ ใครบ้างควรได้รับความช่วยเหลือ เขาจะส่งเช็คเงินสดช่วยเหลือช่วงโควิด – 19 ไปที่บ้านเลย โดยไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องรับสาย และเขาจะสื่อสารไปว่า จะไม่มีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไปก่อน ถ้าโทรไปคือการหลอกลวง และอีกหลายประเทศก็เป็นแบบนี้" เรื่องนี้ถือเป็นความท้าทายของไทยในการควบรวมข้อมูลพื้นฐานประชาชน บนความขัดแย้งของหน่วยงานที่มีการหวงข้อมูลกันไว้ประมาณหนึ่ง…ถ้าให้มอง "กรมสรรพากร" อาจจะต้องเป็นหัวเรือใหญ่ในการรวมข้อมูล เนื่องด้วยมีข้อมูลของผู้ที่เสียภาษีอยู่แล้ว ส่วนข้อมูลของประชาชนบางส่วนที่อยู่ในหน่วยงานกรมปกครอง มหาดไทย , สำนักงานประกันสังคม ,กระทรวงแรงงาน จะต้องทำระบบที่สามารถซิงค์ข้อมูลได้ "หากจะทำเรื่อง Digital Government หรือ สตาร์ทอัพ ผมว่า Negative Income Tax หรือแนวคิดในการเก็บภาษีที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยในระบบนี้ หากบุคคลที่มีรายได้น้อยกว่าขีดจำกัดที่กำหนดไว้จะไม่ได้จ่ายภาษี เหมาะสมสุด ที่จะเริ่มจากตรงนี้ เพราะกระทบกับทุกคน ทั้งยังช่วยให้เห็นภาพทั้งหมดได้ ถ้าทำอะไรสักอย่าง แล้วเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด ที่จะเปลี่ยนระบบ" หากรัฐบาลเกรงว่า อาจจะต้องใช้เงินจำนวนมากในการเปลี่ยนแปลงระบบใหม่ แต่อย่างน้อยให้มองว่าเป็นการเริ่มต้นจากความตั้งใจดีตรงนี้ก่อนว่า อยากช่วย แล้ว นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น และหากติดเรื่องเทคโนโลยีมาคุยกับสตาร์ทอัพได้ เชื่อว่าจะมีทางเลือกให้แน่นอน อีกทั้งจะช่วยประหยัดเงินได้มาก แต่ก็หวังว่ารัฐบาลไม่ควรปล่อยเวลานานเกินไป เพราะเชื่อว่าการจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ในโลกยุคนี้ จะต้องมีเทคโนโลยีที่เป็นเมดอินไทยแลนด์เป็นของตัวเอง อย่างน้อยที่สุด ต้องมีสตาร์ทอัพที่เกิดจากคนในประเทศ ที่แก้ปัญหานี้ได้ พบกับรายการ:คุยนอกกรอบกับ สุทธิชัย หยุ่น ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 21.30-22.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
ตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล 2566 – 2570 รัฐบาลไทยมุ่งเน้นอยากจะเป็น “Digital Government” เพื่อใช้เทคโนโ
สิ่งอำนวยความสะดวก
การตกแต่ง
เครื่องปรับอากาศ
ชั้นบน
เตาอบ/ไมโครเวฟ
ความสะดวกโดยรอบ
กล้องวงจรปิด
เครืองปรับอากาศ
โถงรอลิฟท์ร้านอาหาร
ทางเข้าหลัก
ยอดสินเชื่อโดยประมาณ
รายละเอียดสินเชื่อ
ยอดสินเชื่อที่ต้องชำระต่อเดือนโดยประมาณ
฿ 0 / เดือน
฿ 0 เงินต้น
฿ 0 ดอกเบี้ย
ค่าใช้จ่ายที่อาจต้องมีเบื้องต้น
เงินดาวน์ทั้งหมด
฿ 0
เงินดาวน์
จำนวนสินเชื่อ ฿ 0 ในอัตรา 0% ของสินเชื่อต่อราคาบ้าน (Loan-to-value)
ชุมชนบ้านบางโรง ตั้งอยู่ที่ ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเ

วันนี้ (18 เม.ย.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสงขลา เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัด กล่าวว่า การจั
ดูรายละเอียดโครงการคำถามที่พบบ่อย
เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2566 นายสมหวัง อัสราษี ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อดี
วันนี้ (14 มี.ค.2564) เพจเฟซบุ๊ก “อยากดังเดี๋ยวจัดให้ version2 by kim” โพสต์อุทาหรณ์คนที่ซื้อรถมือสอ
วันนี้ (14 ต.ค.2564) สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ รายงานว่า สถานการณ์การระบาดโรค COVID-19 ข
วันนี้ (31 ม.ค.2568) ศาลจังหวัดธัญบุรี พิจารณาอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว นายวิทิต หรือ "ต้า โอริโอ้" อาย
กรณีโซเชียลแชร์การปิดอันซีน "ภูผาแรด" ในอุทยานหินเขางู จ.ราชบุรี ซึ่งติด 1 ใน 4 สถานที่เที่ยวใหม่ ภา
ค้นหาประกาศอื่นรอบๆ ทุ่งพญาไท
จากสิ่งที่คุณค้นหา คุณอาจจะสนใจตัวเลือกต่อไปนี้
ไพ่ บา คา ร่า w88
หวย ลาว วัน ที่ 21 12 63