วันนี้ (13 พ.ย.2567) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด "โดนัลด์ ทรัมป์" ออกแถลงการณ์แต่งตั้ง อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง SpaceX และ Tesla ให้เป็นผู้นำของหน่วยงานใหม่ที่ชื่อว่า Department of Government Effi
การหวนคืน "ทำเนียบขาว"ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยที่ 2 ไม่เพียงสร้างความหวาดหวั่นไปทั่วโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจและมาตรการกีดกันทางการค้า-การลงทุน การเมืองเรื่องการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ ตามแนว ทาง America
การหวนคืน "ทำเนียบขาว"ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยที่ 2 ไม่เพียงสร้างความหวาดหวั่นไปทั่วโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจและมาตรการกีดกันทางการค้า-การลงทุน การเมืองเรื่องการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ ตามแนว ทาง America Frist ท่ามกลางบริบทความขัดแย้ง ประเทศคู่สงครามรัสเซีย-ยูเครน” และปัญหาในดินแดนปาเลสไตน์ จึงทำให้ถูกจับตามองว่า สหรัฐฯภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนที่ 43 จะดำเนินนโยบายอย่างไรกับโลกมุสลิม กลุ่มประเทศที่ถูกจัดให้อยู่ในโลกมุสลิม แน่นอน ไม่ได้มีเฉพาะชาวอาหรับ 18 ประเทศ อาทิ โอมาน กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย ฯลฯ แต่ยังมีตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ยุโรป รวมทั้ง อาเซียน อย่าง อินโดนีเซีย และไทย อาจต้องได้รับผลกระทบไปด้วย หากกล่าวถึง "โลกมุสลิม" หรือชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม ทั่วโลกพบมีจำนวน 19,000 ล้านคนทั่วโลก คิดเป็นอัตราร้อยละ 24.1 และเป็นประชากรส่วนใหญ่ของ 49 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้กลุ่มประเทศอาหรับยังเป็นศูนย์ กลางทางด้านปิโตรเลียมและการบิน ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าร้อยละ 43 และ 20 ตามลำดับ แม้โลกอาหรับจะมีสำคัญต่อโลกมากมาย กลับปรากฎข้อมูลน้อยมากว่า หลัง "ทรัมป์"ก้าวขึ้นสู่อำนาจอีกครั้ง จะมีผลต่อโลกมุสลิมอย่างไร นายดนัย มู่สา ประธานกรรมการศูนย์นโยบายโลกมุสลิม อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า หากจะเข้าใจโลกอิสลาม ต้องเข้าใจก่อนว่าประกอบด้วยกลุ่มใด ภูมิภาคใด ประเทศใด โลกมุสลิมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก อาหรับมลายู เป็นเพื่อนบ้านของไทย อินโดนีเซีย รัฐอิสลามที่ใหญ่ที่สุด มีประชากรมุสลิมมากที่สุด มาเลเซีย ที่เป็นมันสมองของโลกอิสลาม อาจรวมถึงสิงคโปร์ และอินเดีย ที่มีความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ กลุ่มที่สอง อาหรับตะวันออกกลาง ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกทั้งหลาย รวมไปถึงแอฟริกาเหนือ เช่น อียิปต์ ลิเบีย ซูดาน และที่นับรวมด้วยคือ ตุรกี แม้จะอยากเข้าร่วมสหภาพยุโรปก็ตาม ประธานกรรมการศูนย์นโยบายโลกมุสลิม มองว่า ทรัมป์ได้หันหน้าเข้าหาโลกมุสลิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และพยายามเน้นหนักไปที่การยุติสงคราม ระหว่างอิสราเอลต่อกลุ่มต่าง ๆ ในตะวันออกกลาง ทั้งฮามาส เฮซบอลเลาะห์ ฮูตี หรือความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เพื่อดึงเงินดอลลาร์สหรัฐกลับเข้าประเทศให้ได้มากที่สุด ให้สอดรับกับนโยบาย America First ประเด็นนี้ ทำให้ "ทรัมป์" ได้ใจฐานเสียงกลุ่มมุสลิมอเมริกัน ในบรรดารัฐ Swing States อย่างมาก ถึงขนาดที่มีการกล่าวขานว่า การที่ทรัมป์กลับเข้ามาสู่อำนาจได้อีกครั้ง เป็นผลมาจากผู้เลือกตั้งชาวมุสลิม อีกทั้งทรัมป์ยังเป็นคนบ้าที่สมองปราดเปรื่อง วิ่งโร่เข้าหามุสลิมด้วยการลงพื้นที่ไปรับประทานอาหารฮาลาล ให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำให้โลกมุสลิมกลับมาสงบอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกโรงเตือนถึงปัญหาบางอย่าง เพราะจริง ๆ แล้ว ทรัมป์ 1.0 กับโลกมุสลิมนั้น "เริ่มไม่ดี จบไม่สวย" จากการย้ายสถานทูตสหรัฐฯ มาอยู่ที่นครเยรูซาเลม สถานที่ศักดิ์สิทธ์ที่กำเนิดปมขัดแย้ง คริสต์-อิสลาม-ยิว หรือการแบนซีเรียออกจากสารบบโลก รวมถึง การที่ทรัมป์ออกตัวแรงว่าสหรัฐฯ จะยุติสงครามโดยเร็ว ซึ่งวิธีการ คือ ตัดกำลังทหาร และไม่ให้ความช่วยเหลืออิสราเอลเพื่อการสัประยุทธ์โลกมุสลิม แต่ไม่ได้บังคับให้อิสราเอลต้องยุติสงครามไปโดยปริยาย ดังนั้น อิสราเอลที่มีกำลังรบพร้อมสรรพ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสหรัฐฯ ก็สามารถทำสงครามกับโลกมุสลิมด้วยตนเองได้ อาจยกระดับความรุนแรงขึ้นเพราะได้ลุยเดี่ยว ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่ของโลกมุสลิมได้ในวาระ 4 ปีของทรัมป์ ดังนั้น การปรับตัวของโลกมุสลิมจึงเป็นทางออกสำคัญ เพราะตอนนี้อย่างไรทรัมป์ก็ต้องเข้าหา โดยเฉพาะประเทศตะวันออกกลางที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่สามารถช่วยให้สหรัฐฯ ได้รับผลประโยชน์สูงสุด คือ ซาอุดิอาระเบีย ที่มีพัฒนาการก้าวหน้าทั้งในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงพลังงานมหาศาล จึงอยู่ที่ว่าทรัมป์จะเข้าหาด้วยวิถีแบบใด จะมาลักษณะเดิม คือ ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศตนเอง หรือจะผ่อนปรน โอนอ่อนให้โลกมุสลิม เป็นที่เข้าใจได้ว่า ทรัมป์มีวิธีคิดต่อโลกมุสลิมว่าเป็นตะวันออกกลางเป็นหลัก แต่ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ มีสันฐาน ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอว่า โลกมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความสำคัญไม่แพ้กัน แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้พิจารณาว่าเป็นโลกมุสลิม แต่ในบางประเทศที่เป็นมุสลิมนั้น มีผลประโยชน์มากพอที่จะเจรจาด้วย โดยผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุด คือ การใช้โลกมุสลิมในภูมิภาคนี้เป็น "เครื่องมือถ่วงดุลอำนาจจีน" ที่แผ่ขยายลงมาจากนโยบายและมาตรการทางการเมืองและเศรษฐกิจต่าง ๆ อาทิ Belt and Road Initiative หรือ BRI เส้นทางการค้าที่เชื่อมร้อยให้จีนส่งออกสินค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่สัญญาณหนึ่งที่เป็นไปได้ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ ชี้ว่า ปัญหาการปกครองมุสลิมของจีนใน ซินเจียง อุยกูร์ อาจทำให้โลกมุสลิมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันหน้าเข้าหาทรัมป์มากยิ่งขึ้น ขึ้นอยู่กับว่า ผู้กำหนดนโยบายจะเลือกดำเนินการแบบคิดเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือผลประโยชน์ด้านคุณค่า หากคิดแบบแรก อินโดนีเซีย มาเลค่าย ppฝาก 99 รับ 300 คา สิ โนเซีย ทิ้งจีนไป จากที่กำลังได้ดุลการค้า จะเสียดุลการค้าให้สหรัฐฯ แน่นอน กล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นโลกมุสลิมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออก กลาง มีแนวโน้มว่าด้วยความไม่แน่นอนที่มาจากอุปนิสัยของทรัมป์ทั้งสิ้น แต่อีกภูมิภาคหนึ่งที่ "สร้างสถานภาพ" ในฐานะโลกมุสลิมมาอย่างต่อเนื่อง คือ "เอเชียกลาง" ประกอบด้วย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน ซึ่งอาจจะนับรวม อาเซอร์ไบจาน เจ้าภาพ COP29 เข้าไปด้วย ในฐานะผู้เล่นหน้าใหม่ของโลกมุสลิม มีความสำคัญต่อทรัมป์หรือไม่ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ ฟันธงว่า ยากมาก เหตุผลเพราะเป็นรัฐกันชนที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของรัสเซียมาช้านาน แม้จะมีทรัพยากรน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ดึงดูดการแสวงหาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ แต่การฝ่าด้านรัสเซีย เจ้าของสัมปทานเดิม หรือจีน ที่มีความใกล้เคียงทางเผ่าพันธุ์และภูมิรัฐศาสตร์มากกว่า เป็นเรื่องที่อาจจะได้ไม่คุ้มเสียของสหรัฐฯ "สมการของทรัมป์ในโลกมุสลิม ไม่นับรวมเอเชียกลาง แม้แต่แอฟริกาเหนือ ก็ไม่นับรวม เพราะหักลบกลบหนี้แล้วถือว่าสหรัฐฯ เสียเปรียบ ส่วน "อาเซียน" สหรัฐฯ ก็ไม่หันมามอง ดังนั้น การเจรจาทวิภาคีของสหรัฐฯ คือสิ่งที่ทรัมป์จะกระทำ อยู่ที่โลกมุสลิมว่า จะถ่วงดุลแบบรวมกลุ่ม หรือเป็นรายประเทศ" รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สรุป อ่านข่าว "ฝ่ามรสุมภูมิรัฐศาสตร์" ทางรอดไทย "เลิกเร้นกาย" ในเวทีโลก ลอกคราบ "ทรัมป์" สมัยสอง "เอเชียตะวันออก-ไทย" กระอัก "เกรียงศักดิ์" ชำแหละ "ทรัมป์" ผลประโยชน์เป็นใหญ่ ไทยต้องรับมือ
วันนี้ (31 ต.ค.2566) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.อนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินจากธนาคารออมสิน และธนาคาร ธ.ก.ส ธนาคารละ 1,000 บาท เพื่อปล่อยก
ระดับน้ำในหลายจังหวัดภาคเหนือยังวิกฤต ประชาชนในหลายจังหวัดภาคเหนือยังต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน