"สมศักดิ์" เร่งแก้ปัญหาวัวเถื่อนทะลักชายแดน ทำราคาวัวดิ่ง

รายงาน Synthetic Drugs in East and Southeast Asia : latest developments and challenges 2024 ของ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุ มีการยึดยาบ้าจำนวน 190 ตัน ในเอเชียตะวัน

วันนี้ (21 ส.ค.2566) นายหาญศักดิ์ เบญจศรีทักษ์ ผู้ประสานงานกลุ่มคนเสื้อแดง 17 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผ

วันนี้ (3 ก.ค.2564) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากผลสำรวจของอนามัยโพล เรื่องผลสำรวจการสังเกตเห็นผู้อื่นสวมหน้ากากในชุมชนละแวกที่พักสวมหน้ากากเมื่อออกนอกบ้าน พบว่าประชาชนใน

รายงาน Synthetic Drugs in East and Southeast Asia : latest developments and challenges 2024 ของ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุ มีการยึดยาบ้าจำนวน 190 ตัน ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2566 ถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ตลาดสารเสพติดสังเคราะห์ ในเอเซียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเติบโตในระดับที่น่ากังวล แหล่งผลิตยาเสพติด ยังคงอยู่ในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำในเมียนมา แม้ที่ผ่านมา สมาชิก 6 ประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงจะมีแผนปฎิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติด การลักลอบนำเข้าเคมีภัณฑ์ และสารตั้งต้น แต่ยังคงมีปัญหาการลักลอบนำเข้ายาเสพติดตลอดแนวชายแดนแทบทุกด้าน สำหรับกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ นอกจากจะมีขบวนการค้าและผลิตยาเสพติดครบวงจรแล้ว ยังเกี่ยวพันกับการค้ามนุษย์ และค้าสัตว์ป่าบังหน้าด้วเว็บ พนัน ไทยย โดยในช่วง 1-2 ปีมานี้ บรรดาผู้ค้ายาเสพติดได้เปิด "ธุรกิจมืดบังหน้า" ด้วยการ "ค้าสัตว์หายาก" ส่งไปยังประเทศต่าง ๆ อ่านข่าว: สึนามิ “ยาเสพติด” ทะลักรอบด้าน พิบัติภัย “ไทย-อาเซียน” รายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ในชื่อ World Drug Report 2024 ระบุว่า บรรดาพ่อค้ายาบ้ามีการเปิดธุรกิจ "บังหน้า" เพื่อทำกำไรเพิ่มเติมจากยาเสพติด เนื่องจากที่ผ่านมา รัฐบาลจีน เมียนมา และไทย ได้ปราบปรามอย่างหนัก กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดจึงต้องสร้าง "ทางเลือก" ใหม่เพื่อป้องกันหากเพลื้ยงพล้ำถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ จะได้ไม่หมดตัว โดยทางเลือกของพวกเขานั้น คือ "การค้าสัตว์หายาก" ข้อมูลจาก World WISE ระบุว่า สัตว์หายากที่พ่อค้ายาในบริเวณ ASEAN นิยมมากที่สุด คือ "กวาง" ในอัตราเกินกว่าร้อยละ 80 จากปริมาณที่พ่อค้ายาทั่วโลกข้องเกี่ยวกับการค้าสัตว์หายากทั้งหมด รองลงมา คือ "หมี" ที่อัตราเกินกว่าร้อยละ 50 ที่เหลือจะเป็น "ช้าง" "ตัวนิ่ม" หรือ "เสือ" ในอัตราลดหลั่นลงไป โดยพ่อค้ายาจะ "ยัดไส้" สิ่งเสพติดต่าง ๆ ในซากสัตว์ เพื่อแอบนำไปขายอีกทอดหนึ่ง ที่มา: WORLD DRUG REPORT 2024 ที่มา: WORLD DRUG REPORT 2024 สาเหตุที่ต้องค้าสัตว์ป่าหายาก แทนที่จะบังหน้าด้วยธุรกิจอื่น ๆ รายงานจาก UNODC ชี้ว่า เพราะสินค้าประเภทสัตว์หายาก เป็นที่ต้องการในประเทศจีน ที่นิยม "เปิบพิสดาร" ทั้งยังเป็น "คู่ค้า" สำคัญลำดับแรกของเมียนมา ในอัตราการส่งออกสัดส่วนกว่าร้อยละ 22 จากการส่งออกสินค้าของเมียนมาทั้งหมด ดังนั้น เมื่ออุปสงค์ของสัตว์หายากมีมาก หมายความว่า "มาตรการทางการค้า" ของจีนที่มีต่อสินค้าชนิดนี้ จะมีลักษณะ "ผ่อนปรน" ไปโดยปริยาย และเมื่อเป็นเช่นนี้ การสอดใส้ยาบ้าลงไป จะได้เปรียบในแง่ที่ว่า "เล็ดลอดสายตา" ของเจ้าหน้าที่ไปได้ง่าย ๆ ที่มา: WORLD DRUG REPORT 2024 ที่มา: WORLD DRUG REPORT 2024 โดยเฉพาะบริเวณ "รัฐยะไข่" มีอัตราการทำธุรกิจยาบ้า พร้อมกันกับบังหน้าด้วยค้าสัตว์หายาก "มากที่สุด" เนื่องจาก บริเวณนี้ "ไกลปืนเที่ยง" จากรัฐบาลเมียนมา และมีกลุ่มต่อต้านที่มีอัทธิพลมากมาย ยังมีความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ และยังเป็นมีพื้นที่ชายแดนที่ติดกับจีน เงื่อนไขเหล่านี้ เอื้อให้รัฐยะไข่ดำเนินกิจการดังกล่าวเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่าขบวนการค้ายาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน ได้ใช้วิธีการบังหน้าด้วยการค้าสัตว์หายาก เพื่อลด"เงื่อนไขที่นำไปสู่ความเสี่ยง"ต่อการถูกจับกุม เนื่องจากความต้องการของชาวจีนบางกลุ่มที่ต้องการบริโภคสัตว์ป่าหายา กลายเป็นช่องว่างและเปิดทางให้คนเหล่านี้ใช้เป็นช่องทางทำธุรกิจมืดดังกล่าว แม้ รายงานของ UNODC ไม่ได้ให้นำหนักในการอธิบายประเด็นดังกล่าวมากนัก แต่ได้"เน้นหนัก" ให้ การค้าฝิ่น เป็น "ภัยคุกคาม" ชายแดนที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อไทย ในช่วง 10-20 ปีก่อน "อัฟกานิสถาน" เป็นประเทศผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฝิ่นจำนวนมากที่สุดแต่ในปี 2022 เมื่อกลุ่ม "ตาลีบัน" ยึดกุมอำนาจรัฐได้สำเร็จ ได้ออกคำสั่ง "แบนฝิ่น"ทันที ดังนั้น บรรดาพ่อค้าฝิ่น จึงได้สรรหาตลาด "ครบวงจร" ใหม่ จนในที่สุด ก็มาลงหลักปักฐานที่ "เมียนมา" ที่มา: WORLD DRUG REPORT 2024 ที่มา: WORLD DRUG REPORT 2024 ข้อมูลจาก UNODC ระบุว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของไร่ฝิ่นในเมียนมา เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลังจากการแบนฝิ่นของอัฟกานิสถาน โดยพื้นที่เพาะปลูกได้กว่าร้อยละ 87 ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ โดยเฉพาะ "รัฐฉาน" เป็นฝิ่นไปแล้วกว่าร้อยละ 83 ในปี 2023 และอัตราการทำไร่ฝิ่นเพิ่มขึ้น จากปี 2023 สู่ปี 2024 มากกว่าอัตราร้อยละ 58 ที่มา: WORLD DRUG REPORT 2024 ที่มา: WORLD DRUG REPORT 2024 ความน่ากลัว คือ ฝิ่นเปลี่ยน "ชาวนา" ในพื้นที่ ให้กลายเป็น "ผู้ประกอบการ" หมายความว่า ชาวนาเมียนมานั้น "ปลูกเอง ขายเอง" หรือบางทีอาจจะ "เสพเอง" เสียด้วยซ้ำ สิ่งนี้ ทำให้เกิด "วงจรหนี้" คือ ชาวนาปลูกฝิ่น ได้กำไรมหาศาลกว่าการทำเกษตรทั่วไป เกิดความโลภ กู้เงินนายหน้าค้าฝิ่นมาลงทุนปลูกเพิ่ม และขายในปริมาณที่เพิ่ม ทำวน ๆ ซ้ำ ๆ จนกลายเป็นภาระหนี้ผูกพัน บางรายผลผลิตไม่ตรงตามเป้าหมาย ถึงกับล้มละลายเลยทีเดียว สำหรับไทย ในฐานะเพื่อนบ้าน ต้องเฝ้าระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นประเทศ "ตัวกลาง" ในการขนส่งฝิ่น ไปยังประเทศอื่น ๆ ด้วย เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาวและเมียนมา ยังปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้น จึงเป็นความท้าทายของนโยบายด้านความมั่นคงที่รัฐบาลไทยต้องเผชิญ

วันนี้ (30 ม.ค.2566) เวลา 11.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. และโฆษก บช.น., พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 ร่วมแถลงข่าว