เรือท่องเที่ยวที่ท่าเรือใน อ.เชียงแสน และบ้านสบรวก สามเหลี่ยมทองคำ จ.เชียงราย กลับมาคึกคักอีกครั้ง ภ
ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน "โดนัลด์ ทรัมป์" เป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกยื่นถอดถอนจากตำแหน่งถึง 2 ครั้ง และยังสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้อีก สิ่งนี้ไม่เพียงสะท้อนอิทธิพลทางการเมืองของเขา
ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน "โดนัลด์ ทรัมป์" เป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกยื่นถอดถอนจากตำแหน่งถึง 2 ครั้ง และยังสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้อีก สิ่งนี้ไม่เพียงสะท้อนอิทธิพลทางการเมืองของเขา แต่ยังเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของกลไกถ่วงดุลอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่มีอายุยาวนานกว่า 230 ปี เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2025 สหรัฐอเมริกา ต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อคลื่นประชาชนทั่วประเทศรวมตัวกันในการประท้วงครั้งใหญ่ภายใต้แคมเปญ "Hands Off" ซึ่งเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อชุดนโยบายอันขัดแย้งที่ทรัมป์ประกาศทันทีหลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา การประท้วง Hands Off ไม่ใช่เพียงการแสดงความไม่พอใจแบบธรรมดา แต่สะท้อนถึงความรู้สึกของประชาชนว่าผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันนี้กำลัง "ละเมิดขอบเขต" เกินกว่าที่สังคมเสรีนิยมจะยอมรับได้ เสียงที่ดังจากท้องถนนทั่ว 50 รัฐในวันประท้วง 5 เม.ย. จึงไม่ได้เป็นเพียงการเรียกร้อง เพื่อให้ทบทวนมาตรการเหล่านี้ แต่ชัดเจนว่าหลายกลุ่มเริ่มเรียกร้องให้ "เปิดกระบวนการถอดถอนอีกครั้ง" กระบวนการถอดถอน ปธน.สหรัฐฯ ถูกกำหนดขึ้นในรัฐธรรมนูญ ซึ่งร่างโดยบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ (Founding Fathers of the United States) ในปี 1787 และให้สัตยาบันในปี 1788 แนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลจากกฎหมายอังกฤษในยุคกลางที่อนุญาตให้รัฐสภาถอดถอนขุนนางหรือเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดได้ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญต้องการสร้างกลไกตรวจสอบและถ่วงดุล (Checks and Balances) เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิดของผู้นำ โดยกำหนดไว้ใน มาตรา 2 หมวด 4 ว่า ประเด็นที่น่าสนใจคือคำว่า "High Crimes and Misdemeanors" ซึ่งเป็นวลีที่เปิดให้ตีความได้กว้าง ไม่จำกัดอยู่เพียง "อาชญากรรม" ตามกฎหมายอาญา แต่รวมถึงการใช้อำนาจในทางมิชอบ การละเมิดจริยธรรมผู้นำ และการฝ่าฝืนบทบาทตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ การถูกถอดถอนจึงไม่จำเป็นต้องเกิดจากการ "ทำผิดกฎหมาย" เท่านั้น แต่สามารถเป็นผลจาก "การประพฤติผิดในหน้าที่ทางการเมืองอย่างร้ายแรง" ได้ด้วย บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ การร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรกของสหรัฐฯ บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ การร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรกของสหรัฐฯ เพื่อเข้าใจว่าเหตุใดทรัมป์ถึง "รอด" จากการถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ทั้ง 2 ครั้ง จำเป็นต้องเข้าใจข้อเท็จจริงทางรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และกระบวนการถอดถอนที่แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) ยื่นญัตติถอดถอน (Article of Impeachment) หากญัตติผ่านด้วยคะแนนเสียงข้างมาก ญัตติจะถูกส่งต่อไปยังวุฒิสแจก ทุน เล่น สล็อต ฟรีแจก โค้ด bet911ภา (Senate) วุฒิสภาจะทำหน้าที่คล้ายศาลพิจารณาคดี โดยต้องได้คะแนนเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกอย่างน้อย 2 ใน 3 (67 จาก 100 เสียง) จึงจะสามารถถอดถอนประธานาธิบดีออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ ขั้นตอนนี้เรียกว่า Removal หรือ ถูกถอดถอน แต่การจะได้เสียง 2 ใน 3 ในวุฒิสภานั้นยากมาก โดยเฉพาะหากพรรคของประธานาธิบดีควบคุมวุฒิสภา หรือหากวุฒิสมาชิกมองว่าเหตุผลของการถอดถอนนั้นไม่สมเหตุสมผลพอ และใช่! รัฐบาลทรัมป์ 2.0 มีพรรครีพับลิกันคุมเสียงข้างมากในสภาสูง บรรยากาศการประชุมในรัฐสภา ญัตติถอดถอน บิล คลินตัน บรรยากาศการประชุมในรัฐสภา ญัตติถอดถอน บิล คลินตัน ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2019 สภาผู้แทนราษฎร ภายใต้การนำของพรรคเดโมแครต กล่าวหาว่า ปธน.ทรัมป์ (สมัยที่ 1) ใช้อำนาจในการระงับเงินช่วยเหลือแก่รัฐบาลยูเครน ไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวให้การ และ ไม่ส่งเอกสารตามที่คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนฯ ร้องขอในกระบวนการสอบสวนคดี "ยูเครน" จึงถือว่า "ขัดขวางรัฐสภา" เพื่อกดดันให้สอบสวน ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายของ โจ ไบเดน คู่แข่งทางการเมืองในการเลือกตั้งปี 2020 ข้อกล่าวหา : ใช้อำนาจในทางมิชอบ (Abuse of Power) และ แทรกแซงกระบวนการตรวจสอบของรัฐสภา (Obstruction of Congress)ผลลัพธ์ : สส.ยื่นถอดถอน แต่ สว.ไม่ถอดถอน (คะแนนโหวตจากวุฒิสภาไม่ถึง 2 ใน 3) การยื่นถอดถอน โดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยแรก การยื่นถอดถอน โดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยแรก ครั้งที่ 2 เหตุการณ์จลาจลในวันที่ 6 ม.ค.2021 ที่ผู้สนับสนุนของทรัมป์ บุกอาคารรัฐสภาในระหว่างการรับรองผลเลือกตั้ง ที่ โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง การ "ยุยงให้เกิดการจลาจล" หมายถึง การใช้คำพูดหรือการกระทำใด ๆ ที่มีเจตนากระตุ้นให้ประชาชนลุกฮือต่อสู้ ต่อต้าน หรือใช้ความรุนแรงต่อรัฐบาลอย่างผิดกฎหมาย โดยข้อกล่าวหานี้ พุ่งตรงไปที่คำปราศรัยของทรัมป์ ก่อนการบุกที่เขาใช้ถ้อยคำว่า "fight like hell" และกล่าวหาว่าการเลือกตั้งถูกขโมย ซึ่งถูกมองว่าเป็นการปลุกระดมให้ผู้สนับสนุนก่อเหตุ ข้อกล่าวหา : ยุยงปลุกปั่นให้ก่อการจลาจล หรือ ปลุกระดมให้ลุกฮือต่อต้านรัฐบาลอย่างรุนแรง (Incitement of Insurrection)ผลลัพธ์ : ถูกยื่นถอดถอนเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ แต่ก็ยังไม่ถูกถอดถอนอยู่ดี รอง ปธน.แอนดรูว์ จอห์นสัน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1865 หลังการลอบสังหาร ปธน.อับราฮัม ลินคอล์น เขาเป็นเดโมแครตจากรัฐเทนเนสซีที่มีแนวทางอนุรักษ์นิยม ต่อต้านการให้สิทธิแก่ชาวแอฟริกันอเมริกันที่เพิ่งได้รับอิสรภาพหลังเลิกทาส ก็คือสนับสนุนให้ยังมีระบบทาสต่อไป จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อจอห์นสัน สั่งปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงคราม "เอดวิน สแตนตัน" ออกจากตำแหน่ง โดยไม่ขอความเห็นชอบจากวุฒิสภาตามที่กำหนด ไว้ในกฎหมาย Tenure of Office Act การกระทำดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการละเมิดกฎหมายและใช้อำนาจในทางที่ผิด นำไปสู่การยื่นญัตติถอดถอนในสภาผู้แทนราษฎรด้วยข้อหา 11 กระทง อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องถึงวุฒิสภา การลงมติครั้งสุดท้ายกลับได้เสียง "ไม่ถอดถอน" ด้วยคะแนน 35 ต่อ 19 (ต้องการ 36 เสียงจาก 54 เสียงจึงจะถอดถอนสำเร็จ) ส่งผลให้เขารอดพ้นจากการถูกปลดจากตำแหน่งด้วยความต่างเพียง 1 เสียง อดีต ปธน.แอนดรูว์ แจ็กสัน อดีต ปธน.แอนดรูว์ แจ็กสัน บิล คลินตัน ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตในยุค 1990 เขาได้รับความนิยมสูงจากผลงานด้านเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่กลับเผชิญมรสุมทางการเมืองครั้งใหญ่จาก คดีความสัมพันธ์ลับกับมอนิกา ลูวินสกี อดีตนักศึกษาฝึกงานในทำเนียบขาว เรื่องดังกล่าวเริ่มต้นจากการสืบสวนของอัยการพิเศษ ขยายขอบเขตจากคดีธุรกิจ มาสู่เรื่องส่วนตัว จนสุดท้ายพบว่า คลินตันให้การเป็นเท็จต่อคณะลูกขุนใหญ่ และมีความพยายามขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ด้วยการโน้มน้าวให้พยานปฏิเสธข้อมูล การกระทำของ ปธน.คลินตัน แม้ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยตรง แต่รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กำหนดให้ "การให้การเท็จ" และ "การขัดขวางกระบวนการของศาล" เป็นความผิดในระดับ "High Crimes and Misdemeanors" สส.จึงมีมติยื่นถอดถอนคลินตันด้วยข้อหา 2 กระทง อย่างไรก็ตาม ผลการลงคะแนนของ สว. ก็ไม่ถึงเกณฑ์ 2 ใน 3 คลินตันจึงกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่รอดการถูกถอดถอนจากตำแหน่ง อดีต ปธน.บิล คลินตัน อดีต ปธน.บิล คลินตัน คำตอบคือ "ไม่ได้" การประท้วงนับล้านอาจเป็นเพียงเสียงสะท้อนความไม่พอใจ โดยไม่มีผลทางกฎหมายที่เป็นรูปธรรม รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้ประชาชนยื่นถอดถอนประธานาธิบดีโดยตรง เช่น การล่ารายชื่อ แต่ประชาชนยังมีอำนาจสำคัญในการผลักดันผ่านการประท้วงและเรียกร้องต่อสาธารณะ การยื่นจดหมาย คำร้องไปยังสมาชิกรัฐสภา การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกลางเทอมเพื่อเปลี่ยนองค์ประกอบในสภา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ประชาชนสามารถจุดไฟสร้างแรงกดดัน ให้สมาชิกรัฐสภานำเสนอข้อกล่าวหาได้ หากพบพฤติกรรมของประธานาธิบดีที่เข้าข่ายละเมิดรัฐธรรมนูญหรือหลักการประชาธิปไตย ในขณะที่การประท้วง "Hands Off" ยังคงขยายตัว และคะแนนนิยมของทรัมป์ในหมู่กลุ่มเสรีนิยมตกต่ำลงทุกวัน คำถามใหญ่ยังคงก้องอยู่ในหมู่ประชาชน "นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการยื่นถอดถอนทรัมป์ เป็นครั้งที่ 3 หรือไม่ ?" หากเกิดขึ้นจริง ทรัมป์จะกลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกยื่นญัตติถอดถอนถึง 3 ครั้ง สร้างบรรทัดฐานใหม่ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน และกลายเป็นกรณีศึกษาในอนาคตว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออำนาจของประชาชนต้องสู้กับอำนาจของรัฐ และรัฐธรรมนูญจะยืนหยัดปกป้องหลักการประชาธิปไตยได้จริงหรือไม่ รู้หรือไม่ : ในปี 1974 ปธน.ริชาร์ด นิกสัน เกือบถูกถอดถอนจากตำแหน่งจากกรณีวอเตอร์เกต (Watergate Scandal) แต่เขาลาออกก่อนที่สภาจะลงมติ ที่มา : U.S. Constitution, Library of Congress, Congressional Records อ่านข่าวอื่น : กลยุทธ์ไทยโต้ภาษี "ทรัมป์" นักวิชาการแนะอาเซียนผนึกกำลังต่อรอง ทรัมป์สุมไฟเพิ่ม! ขู่ไม่คุยจีน ขึ้นภาษีรวม 104% หากไม่หยุดตอบโต้
วันนี้ (26 ก.ค.2567) ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.2226/2565 ระหว่างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ผู้ฟ้องคดี) กับกรุงเทพมหานคร กับพวกรวม 2 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) โดยคดีด