วันนี้ (16 ส.ค.2567) เมื่อเวลาประมาณ 07.35 น.ตามเวลาท้องถิ่นไต้หวัน เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ห่างจากเมืองฮวาเหลียนทางตะวันออกไปประมาณ 34 กิโลเมตร เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย สำนักอุตุนิยมวิทยาของ
น.ส.ปิยรัฐชย์ ติยะไพรัช ส.ส.พรรคเพื่อชาติ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการอภิปรายวันที่ 3 โดยระบุว่า การบริหารประเทศที่ผิดพลาด และทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ ถือเป็นผลงานด้
กรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน ของวุฒิสภา ที่มีนายเสรี สุวรรณภานนท์ เป็นประธาน เป็นคนจุดพลุเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรค 4 ว่าด้วยข้อบัญญัติให้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่เกิน 8 ปี ไม่ว่าจะต่อเนื่องกันหรือไม่ โดยให้เหตุผลว่า เป็นหนึ่งในเรื่องการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ที่กรรมาธิการต้องดำเนินการ 5 เรื่อง รวมทั้งวิวาทะ “ตัวประกอบ 5 บาท” กับ “ส.ส.ขี้ข้าโจร” ในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาของพ.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เมื่อปี 2562 เหตุผลสำคัญของส.ว.ทั้ง 2 คน คือ ถึงเวลาต้องพิจารณาว่าการอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ไม่เกิน 8 ปีนั้น ยังจำเป็นอยู่หรือไม่ เพราะต้องขึ้นอยู่กับเสียงของประชาชน และหากเป็นนายกฯ ที่ดี ก็ไม่ควรจะไปขีดกรอบเวลาแค่ 8 ปี คำถามที่ตามมาคือ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญของไทย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ หรืออาจได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญไทย ทั้งฉบับปี 2550 และฉบับปี 2560 เหตุไฉนจึงกำหนดกรอบเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ไว้ ทั้งที่รู้ว่าในต่างประเทศ ที่คนไทยบางส่วนไปคัดลอกมา ทั้งที่ไม่มีข้อกำหนดเรื่องนี้ไว้ ทำให้คำตอบที่บางคนตั้งข้อสังเกตตั้งแต่ต้นว่า เป็นการเขียนกับดักสกัดใครบางคนไม่ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเพียงเท่านั้น หรือไม่ เช่นเดียวกับเหตุผลที่ยกตัวอย่างประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ครั้งแรกเป็นได้แค่ 2 สมัย แต่ปัจจุบันได้เป็นสมัยที่ 3 แล้ว ยืนยัน ไม่ใช่เป็นกฎตายตัว แต่ดูย้อนแย้งกับเหตุผลครั้งแรกที่อ้างถึงระบบนายกรัฝาก 10 รับ 100 ล่าสุด 2020ฐมนตรีเป็นผู้นำรัฐบาล ทั่วโลกไม่มีข้อกำหนดเรื่องเวลาเอาไว้ อย่างไรก็ดี กรณีของจีน ชัดเจนว่าประธานาธิบดีคือผู้ที่มีอำนาจเต็ม และเป็นคนละระบบกับของไทย อย่างไรก็ตาม ท่าทีของ ส.ว.อีกหลายคน กลับมีความเห็นที่แตกต่างออกไป นายสมชาย แสวงการ ประธานกมธ.สิทธิเสรีภาพ วุฒิสภา เห็นว่าจังหวะเวลายังไม่เหมาะสม เพราะจะถูกเชื่อมโยงไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ จึงควรรอไปก่อน หรืออาจให้รัฐบาลชุดใหม่เป็นผู้พิจารณาหรือขับเคลื่อนเรื่องนี้ สอดคล้องกับเสธ.อู้ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สายทหาร ที่ระบุว่า การเป็นนายกฯ รวมกันเกินแปดปีไม่ได้ เป็นประเด็นหนึ่งที่ไม่มีใครเห็นด้วยมาตั้งแต่การศึกษาร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2560 แล้ว เพราะไม่เหมือนกับการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีหรือเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงแบบในต่างประเทศ เช่น นายองอาจ คร้ามไพบูลย์ ประธานส.ส.และรองหัวหน้าพรรค หรือพรรคพลังประชารัฐ นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค เหตุผลสำคัญ คือการเชื่อมโยงไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ ที่เปิดตัวเป็นสมาชิกพรรคและเป็นแคนดิเดทนายกในบัญชีของพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว เพราะหากหลังเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ จะอยู่ในดังแหน่งนี้ได้อีกไม่เกิน 2 ปี ที่มีความสำคัญเช่นกัน คือจะกระทบต่อภาพพจน์ของ ส.ว.อย่างเลี่ยงไม่พ้น เพราะฉายาที่ได้รับจากสื่อประจำรัฐสภาคือการเป็นตรายางให้กับรัฐบาล หรือล่าสุด “ผู้เฒ่าเฝ้าสมบัติ” (คสช.) ดังนั้น การจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงความต้องการ หรือให้น้ำหนักกับมติของประชาชนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะประชามติจากการเลือกตั้งส.ส.ที่กำลังจะมีขึ้น เพราะบริบทและสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ต่างจากเมื่อปี 2562 อย่างชัดเจน วิเคราะห์โดย : ประจักษ์ มะวงศ์สา
กรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน ของวุฒิสภา ที่มีนายเสรี สุวรรณภานนท์ เป็นประธาน เป็นคนจุดพลุเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรค 4 ว่าด้วยข้อบัญญัติให้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่
วันนี้ (2 ต.ค.2565) ตามที่ สปสช.ได้มีการยกเลิกสัญญาการให้บริการปฐมภูมิ ประจำ และรับส่งต่อทั่วไปกับโร