วันนี้ (13 พ.ค.2567) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมน

จับมือปืนยิงเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อ.หัวหิน ตำรวจได้ตัวผู้ต้องหาที่ถูกระบุว่าเป็นมือปืนยิงเศรษฐีนีเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ใน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เสียชีวิตเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่าน
สะท้อนให้เห็นผลงานล่าสุดของ "อุ๊งอิ๊ง" ในการเคลียร์ปัญหากับ ร.ต.อ.เฉลิม ให้กลับมาคืนดีเหมือนเดิม ทั้งกับพรรคเพื่อไทย และคนในตระกูลชินวัตร หลังเกิดวลี "กวนโอ๊ยทั้งพ่อทั้งลูก" ระหว่างที่นายทักษิณ ชินวัต
เปิดศักราชปี 2568 ราคาทองคำพุ่งแรงต่อเนื่อง จนเกือบจะแตะบาทละ 50,000 บาท นับตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ภาพรวมราคาทองในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาบวกขึ้นถึง 26,650 บาท เฉพาะปี 2567 บวกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 7,850 บาท มีหลายปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก นโยบายการเงิน อุปสงค์อุปทาน และความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ทองคำถูกมองว่าเป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven Asset) ซึ่งนักลงทุนใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกอ่อนแอหรือเกิดวิกฤต ราคาทองมักปรับตัวสูงขึ้น แต่หากเศรษฐกิจโลกแข็งแกร่ง นักลงทุนอาจขายทองเพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ค่าเงินดอลลาร์ เงินเฟ้อ และนโยบายธนาคารกลางเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตามอง "ไทยพีบีเอสออนไลน์" สัมภาษณ์ ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์ วิจัยทองคำ ถึงทิศทางและแนวโน้มราคาทองคำ หลังจากนี้ว่าจะทยานถึงบาทละ 50,000 ได้หรือไม่ "หากดูสถิติราคาทองคำย้อนหลังไป 20 ปี จะพบว่า ทุก ๆปีราคาทองคำจะปรับตัวขึ้น เฉลี่ยน 15-20% ปี2567 ราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูงถึง 33% หลังจากที่รัฐบาลเปิดประเทศ และในช่วงโควิดทองคำปรับตัวสูงเกือบ 40% ซึ่งถือว่าราคาทองคำตั้งแต่ต้นปี68 ปรับตัวไปขึ้นมาที่บาทละ 42,600 บาท หรือ ประมาณบาทละ 47,000 บาท คิดเป็น 10% เป็นการบวกขึ้นมา 4,000 บาทซึ่งราคาใกล้เคียงกับปัจจุบัน"ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ เกริ่นนำ และย้ำว่า ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า ปัจจัยที่เป็นตัวเร้าให้ราคาทองคำทะยานไปถึงบาทละ 50,000 ต้องมองย้อนกลับไปช่วงปลายปีที่นักวิเคราะห์ต่างออกมาประเมินสถานการณ์การกลับมาของทรัมป์ 2.0 ซึ่งถือว่า เป็นส่วนที่ทำให้เศรษฐกิจโลกหรือตลาดทุนเกิดความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบด้วยนโยบายที่หาเสียงไว้จากสโลแกนทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ "Make America great again" ทำให้ทั่วโลกเห็นว่า ทรัมป์ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนกับสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการตั้งกำแพงภาษีต่างๆ การทำสงครามการค้ากับประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดังจะเห็นจาก ช่วงปลายปี 2567 ราคาทองคำลงมาแตะ 42,000 บาท หลังจาก "ทรัมป์" รับตำแหน่งเริ่มมีการแถลงนโยบายเริ่มงาน มีการประกาศนโยบายต่างๆออกมา ทำให้เกิดความไม่แน่นอนกับสภาวะเศรษฐกิจทำให้ราคาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างมากในต้นปีนี้ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นทั้งที่เป็นในรูปแบบ Gold Spot และทองคำแท่งไทย ซึ่งทองคำแห่งไทยได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง รวมถึงความกังวลสงครามการค้าที่จะลามมาถึงไทยด้วย ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำ เดือน ก.พ.ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือน ที่ผ่านมา จาก 68.31 จุด เป็น 72.67 เพิ่มขึ้น 4.36 จุด หรือคิดเป็น 6.39% ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้น คือ ความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย นโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการอ่อนค่าของเงินบาท สำหรับการคาดการณ์กรอบราคาทองคำในเดือนนี้ ของผู้ประกอบกิจการค้าทอง คำรายใหญ่ต่างมองไปในทิศทางเดียวกัน คือ ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 2,749 – 2,965 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 44,250 – 47,750 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ และด้านค่าเงินบาท ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 33.34 – 34.62 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางราคาทองคำ ซึ่งการใช้กลยุทธ์เข้าซื้อทองคำเมื่อราคาทองคำอยู่ในระดับแนวรับสำคัญ และทยอยขายทำกำไรเมื่อราคาทองคำแตะระดับแนวต้าน โดยกำหนดจุดหยุดขาดทุนที่ชัดเจนจะช่วยให้สามารถลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการลงทุนในทองคำ รวมทั้งป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาดทองคำ ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองปรับตัวลดลงนั้น ศูนย์วิจัยทองคำได้ทำการวิเคราะห์ช่วงที่ทรัมป์อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี หากย้อนกลับไปปี 2537 พบว่าราคาทองคำร้อนแรงซึ่งสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน หรืออิสราเอล-ฮามาส และในช่วงแรกที่ทรัมป์ยังมีมุมมองที่ค่อนข้างเป็นบวกกับทั้งสองสงครามซึ่งแนวโน้มน่าจะลดความรุนแรงลงได้จริง ซึ่งทำให้ราคาทองซึ่งมีฐานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมีความเสี่ยงน้อยลง ทำให้มีแรงเทขายออกมา แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ทรัมป์เข้ามา มีการประกาศในหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น สงครามอิสราเอล ฉนวนกาซา หรือคลองปานามา ซึ่งเมื่อเริ่มมีนโยบายแปลกๆผิดจากที่ประกาศไว้ตอนหาเสียงทำให้ทองคำมีแรงซื้อเข้ามาจากนักลงทุน ดังนั้นปัจจัยที่ดึงให้ราคาทองคำลงมา คือ 1. ความคลี่คลายของสงครามการค้าซึ่งหากเมื่อไหร่ที่มีการเจรจายุติ ทั้งระหว่างสหรัฐกับจีน หรือแคนาดา เม็กซิโก หรือแม้แต่ยุโรปหรือกลุ่ม BRICS มีประเทศสมาชิก 9 ประเทศ คือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ เอธิโอเปีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ และอิหร่าน ถ้ามีการเจรจาเลื่อนการขึ้นภาษี ก็อาจจะเป็นปัจจัยลบให้กับราคาทองได้ 2.ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ฮามาส ตะวันออกกลาง ยูเครน มีการเจราสงบศึกกันได้และไม่มีการเปิดประเด็นอื่นในเรื่องของความขัดแย้งเพิ่มเติมก็จะเป็นส่วนทำให้ความรุนแรงของราคาทองลดลง ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า 5% ของราคาทองที่ย่อตัวลงจะประมาณ 2,000 บาท ถือว่าลงไปตั้งหลักที่ระดับไฮเก่าที่ 44,000 บาทกว่า ๆ ก็เป็นจังหวะที่น่าสนใจเข้าซื้อ หรือแม้กระทั่งลงมา 45,500-46,000บาท ที่ลดระดับลงมาจากระดับสูงสุด ที่ 47,000 บาท ลงมา 1,000-2,000 บาท/บาททองคำ ก็สามารถเข้าซื้อได้ ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ แนะนำนักลงทุน ประชาชนที่ต้องการลงทุน หรือซื้อทองคำเก็บไว้เป็นสินทรัพย์ยามฉุกเฉินหรือทุนสำรองว่า อยากให้นักลงทุนซื้อทองเมื่อราคาย่อมาในแนวรับต่าง ๆ คือ 44,000-46,000-45,00 บาททองคำ และใช้เงินทุนบางส่วน เพราะราคาทองปรับขึ้นมา 10% ต้องระวังพอสมควร การเข้าซื้อให้เป็นการทยอยเข้าซื้อในแนวรับ และถ้าเข้าซื้อแล้ว สมมุติว่าราคาทองปรับตัวขึ้นไปอีกครั้ง 47,500 ก็เป็นโอกาสที่จะขายทำกำไรออกมาบ้าง เพื่อบรรเทาคสามเสี่ยงพอร์ต แต่ในส่วนของนักลงทุนที่ซื้อทองคำเพราะอยากเก็บไว้เป็นทุนสำรองของครอบครัวสามารถถือต่อได้ และทยอยเข้าซื้อในทุกครั้งที่ทองคำย่อตัวลงมา ซึ่งจะเห็นว่าพอทองย่อตัวลงมา 46,500 เริ่มมีคนเข้าซื้อก็ถือว่าราคาทองคำแท่งไทยแนวรับ 500-1,000 บาททองคำ ก็สามารถทยอยเข้าซื้อได้ทีละก้อน รวมถ้าปรับตัวสูงขึ้นก็อาจจะทยอยขายทำกำไรได้ ทั้งนี้เทรนด์การซื้อทองในอนาคตจะเป็นชิ้นเล็กลง เพราะว่าประกอบการต้องปรบตัวตามกำลังซื้อของผู้ซื้อและปรับตัวมาหลายปีแล้วตั้งแต่ราคาทองปรับตัวสูงขึ้น 20,000 บาททองคำ ซึ่งสมัยก่อนผู้บริโภคนิยมออมทอง เช่น เงินเดือน 15,000 ก็สามาถซื้อทองได้ แต่ปัจจุบันเงินเดือน 15,000 ซื้อทองคำแทบไม่ได้ ดังนั้นผู้บริโภคต้องลดลง ตอนนี้มีทองคำชิ้นเล็ก ๆ ขนาด 0.3 กรัม 0.5 กรัม หรือ 1กรัม มีการผลิตออกมาขายเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในครึ่งปีแรกนั้น ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ มองว่ามีโอกาสสูงที่จะได้เห็นราคาทองคำบาทละ 50,000 จากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น ซึ่งถ้ามองว่าทองคำปรับตัวขึ้น 20% เท่ากับ ทองคำบาทละ 42,600 คูณ 20% =8500 ก็ตกบาทละ 56,000 บาท ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง แต่จะอยู่ในช่วงไหน ต้องดูนโยบาโปร โม ชั่ น. slotxoทดลองซื้อ ฟรี ส ปิ น ppยต่างของทรัมป์ 1.ดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นไปทิศทางใด ถ้าลดลงก็เป็นแรงผลักให้ราคาทองสูง 2.ความขัดแย้งต่าง ๆ เช่น สงครามการค้า ก็จะเป็นแรงดันราคาทองเช่นกัน “ปีนี้มีโอกาสขึ้นสูง แต่ก็มีโอกาสลงเช่น ส่วนตัวเห็นว่าทองคำจะปรับตัวขึ้นมีสูง ซึ่งถ้าทองคำปรับตัวลดลง 1,000-2,000 บาท ควรทยอยเข้าซื้อ หรือบาทละ 44,000-45,000-46,000 พอซื้อได้ แต่ถ้า 47,000 บาท ต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าซื้อทองคำ คล้ายการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งเป็นไปได้ทุกอย่าง ช่วงนี้มีบางส่วนทยอยเข้าซื้อ แต่โอกาสลงมี แต่สำคัญสุด คือ ต้องติดตามนโยบายทรัมป์ และดอกเบี้ย เงินเฟ้อ หรือการแถลงต่าง ๆของทรัมป์ ที่ทำให้ราคาทองค่อนข้างสวิง ทั้งทองแท่งและ Gold Spot สงครามๆต่าง ส่งผลกระทบน้อย แต่ถ้ามีการครุกรุ่นขึ้นมาอีก ก็อาจจะให้ราคาทองสูงขึ้นมาอีกได้” ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวถึงแนวโน้มของร้านทองทั่วประเทศที่อาจจะได้รับผลกระทบจากทองคำที่สูงขึ้น ว่า ปัจจุบันนักลงทุนให้ความสำคัญในการลงทุนทองคำแท่งมากกว่ารูปพรรณ คล้ายกับเป็นการฝากเงินไว้กับธนาคาร เพียงแต่ซื้อในรูปแบบของทองคำแท่งเก็บสะสมออม ส่วนทองรูปพรรณเมื่อราคาทองปรับตัวสูงขึ้น การที่จะเข้าซื้อรูปพรรณเพื่อสวมใส่ อาจจะมีดีมานด์ลดลงไปอย่างน่ากลัวทำให้ส่งผลกระทบกับร้านทองทั่วประเทศที่จะต้องปรับตัว จากการที่รายได้หดหาย เพราะส่วนมากทองรูปพรรณจะเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากในอดีตไม่ว่าจะซื้อเป็นของขวัญ สวมใส่เป็นแฟชั่น และร้านทองเองได้ค่ากำเหน็จเพื่อใช้จ่ายในร้านทอง แต่ปัจจุบันการค้าทองรูปพรรณหดตัวไปมาก ทำให้ร้านทองส่งผลกระทบ สุดท้ายแล้วถ้าราคาทองคำปรับตัวลดลง และเศรษฐกิจโดยร่วมของประเทศดีขึ้น ตลาดทุนดีขึ้น สุดท้ายผู้บริโภคก็จะมีเงินบางส่วนไหลกลับมาที่ทองรูปพรรณแน่นอน เพราะทองรูปพรรณไทยถือว่า เป็นสินค้าที่มีความสำคัญกับวัฒนธรรมไทยมาเป็น 100 ปี แม้ว่าวันนี้ "ทองคำ"เริ่มปรับตัวลงตามสถานการณ์โลกที่ไม่หวือหวาเหมือนช่วงต้นปี แต่ "ทองคำ" ยังน่าลงทุน เนื่องจากยังเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและจากนี้ไปคงต้องลุ้นว่า จะได้เห็นราคา "ทองคำ" แตะอยู่ 50,000 บาท ได้หรือไม่ อ่านข่าว: สรุปราคาทองคำ 19 ก.พ. 2568 ปิดตลาดบวกแรง 500 บาท “ทองคำ” โอกาสนักลงทุน บนวิกฤต “ทรัมป์ป่วน” เศรษฐกิจโลก สรุปราคาทองคำ 11 ก.พ. 2568 ปิดตลาดร่วงเหลือ 250 บาท เรื่องต้องรู้ ก่อนลงทุนทองคำ กับความเสี่ยงที่ต้องระวัง ส่องสถิติราคาทองคำย้อนหลัง 10 ปี ลุ้นปี 2568 ไปสุดที่เท่าไหร่?
วันนี้ (1 ก.ค.2565) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวรินทร์ เทียมจรัส อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และนักกฎหมายด
วันนี้ (8 ม.ค.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จ.ชลบุรี ยังคงเร่งควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 ในพื้นท
วันนี้ (16 ก.พ.2565) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ครม.อนุมัติร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติแ
เปิดศักราชปี 2568 ราคาทองคำพุ่งแรงต่อเนื่อง จนเกือบจะแตะบาทละ 50,000 บาท นับตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ภาพรวมราคาทองในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาบวกขึ้นถึง 26,650 บาท เฉพาะปี 2567 บวกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 7,850 บาท มีหลายปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก นโยบายการเงิน อุปสงค์อุปทาน และความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ทองคำถูกมองว่าเป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven Asset) ซึ่งนักลงทุนใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกอ่อนแอหรือเกิดวิกฤต ราคาทองมักปรับตัวสูงขึ้น แต่หากเศรษฐกิจโลกแข็งแกร่ง นักลงทุนอาจขายทองเพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ค่าเงินดอลลาร์ เงินเฟ้อ และนโยบายธนาคารกลางเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตามอง "ไทยพีบีเอสออนไลน์" สัมภาษณ์ ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์ วิจัยทองคำ ถึงทิศทางและแนวโน้มราคาทองคำ หลังจากนี้ว่าจะทยานถึงบาทละ 50,000 ได้หรือไม่ "หากดูสถิติราคาทองคำย้อนหลังไป 20 ปี จะพบว่า ทุก ๆปีราคาทองคำจะปรับตัวขึ้น เฉลี่ยน 15-20% ปี2567 ราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูงถึง 33% หลังจากที่รัฐบาลเปิดประเทศ และในช่วงโควิดทองคำปรับตัวสูงเกือบ 40% ซึ่งถือว่าราคาทองคำตั้งแต่ต้นปี68 ปรับตัวไปขึ้นมาที่บาทละ 42,600 บาท หรือ ประมาณบาทละ 47,000 บาท คิดเป็น 10% เป็นการบวกขึ้นมา 4,000 บาทซึ่งราคาใกล้เคียงกับปัจจุบัน"ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ เกริ่นนำ และย้ำว่า ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า ปัจจัยที่เป็นตัวเร้าให้ราคาทองคำทะยานไปถึงบาทละ 50,000 ต้องมองย้อนกลับไปช่วงปลายปีที่นักวิเคราะห์ต่างออกมาประเมินสถานการณ์การกลับมาของทรัมป์ 2.0 ซึ่งถือว่า เป็นส่วนที่ทำให้เศรษฐกิจโลกหรือตลาดทุนเกิดความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบด้วยนโยบายที่หาเสียงไว้จากสโลแกนทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ "Make America great again" ทำให้ทั่วโลกเห็นว่า ทรัมป์ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนกับสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการตั้งกำแพงภาษีต่างๆ การทำสงครามการค้ากับประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดังจะเห็นจาก ช่วงปลายปี 2567 ราคาทองคำลงมาแตะ 42,000 บาท หลังจาก "ทรัมป์" รับตำแหน่งเริ่มมีการแถลงนโยบายเริ่มงาน มีการประกาศนโยบายต่างๆออกมา ทำให้เกิดความไม่แน่นอนกับสภาวะเศรษฐกิจทำให้ราคาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างมากในต้นปีนี้ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นทั้งที่เป็นในรูปแบบ Gold Spot และทองคำแท่งไทย ซึ่งทองคำแห่งไทยได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง รวมถึงความกังวลสงครามการค้าที่จะลามมาถึงไทยด้วย ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำ เดือน ก.พ.ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือน ที่ผ่านมา จาก 68.31 จุด เป็น 72.67 เพิ่มขึ้น 4.36 จุด หรือคิดเป็น 6.39% ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้น คือ ความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย นโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการอ่อนค่าของเงินบาท สำหรับการคาดการณ์กรอบราคาทองคำในเดือนนี้ ของผู้ประกอบกิจการค้าทอง คำรายใหญ่ต่างมองไปในทิศทางเดียวกัน คือ ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 2,749 – 2,965 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 44,250 – 47,750 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ และด้านค่าเงินบาท ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 33.34 – 34.62 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางราคาทองคำ ซึ่งการใช้กลยุทธ์เข้าซื้อทองคำเมื่อราคาทองคำอยู่ในระดับแนวรับสำคัญ และทยอยขายทำกำไรเมื่อราคาทองคำแตะระดับแนวต้าน โดยกำหนดจุดหยุดขาดทุนที่ชัดเจนจะช่วยให้สามารถลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการลงทุนในทองคำ รวมทั้งป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาดทองคำ ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองปรับตัวลดลงนั้น ศูนย์วิจัยทองคำได้ทำการวิเคราะห์ช่วงที่ทรัมป์อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี หากย้อนกลับไปปี 2537 พบว่าราคาทองคำร้อนแรงซึ่งสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน หรืออิสราเอล-ฮามาส และในช่วงแรกที่ทรัมป์ยังมีมุมมองที่ค่อนข้างเป็นบวกกับทั้งสองสงครามซึ่งแนวโน้มน่าจะลดความรุนแรงลงได้จริง ซึ่งทำให้ราคาทองซึ่งมีฐานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมีความเสี่ยงน้อยลง ทำให้มีแรงเทขายออกมา แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ทรัมป์เข้ามา มีการประกาศในหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น สงครามอิสราเอล ฉนวนกาซา หรือคลองปานามา ซึ่งเมื่อเริ่มมีนโยบายแปลกๆผิดจากที่ประกาศไว้ตอนหาเสียงทำให้ทองคำมีแรงซื้อเข้ามาจากนักลงทุน ดังนั้นปัจจัยที่ดึงให้ราคาทองคำลงมา คือ 1. ความคลี่คลายของสงครามการค้าซึ่งหากเมื่อไหร่ที่มีการเจรจายุติ ทั้งระหว่างสหรัฐกับจีน หรือแคนาดา เม็กซิโก หรือแม้แต่ยุโรปหรือกลุ่ม BRICS มีประเทศสมาชิก 9 ประเทศ คือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ เอธิโอเปีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ และอิหร่าน ถ้ามีการเจรจาเลื่อนการขึ้นภาษี ก็อาจจะเป็นปัจจัยลบให้กับราคาทองได้ 2.ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ฮามาส ตะวันออกกลาง ยูเครน มีการเจราสงบศึกกันได้และไม่มีการเปิดประเด็นอื่นในเรื่องของความขัดแย้งเพิ่มเติมก็จะเป็นส่วนทำให้ความรุนแรงของราคาทองลดลง ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า 5% ของราคาทองที่ย่อตัวลงจะประมาณ 2,000 บาท ถือว่าลงไปตั้งหลักที่ระดับไฮเก่าที่ 44,000 บาทกว่า ๆ ก็เป็นจังหวะที่น่าสนใจเข้าซื้อ หรือแม้กระทั่งลงมา 45,500-46,000บาท ที่ลดระดับลงมาจากระดับสูงสุด ที่ 47,000 บาท ลงมา 1,000-2,000 บาท/บาททองคำ ก็สามารถเข้าซื้อได้ ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ แนะนำนักลงทุน ประชาชนที่ต้องการลงทุน หรือซื้อทองคำเก็บไว้เป็นสินทรัพย์ยามฉุกเฉินหรือทุนสำรองว่า อยากให้นักลงทุนซื้อทองเมื่อราคาย่อมาในแนวรับต่าง ๆ คือ 44,000-46,000-45,00 บาททองคำ และใช้เงินทุนบางส่วน เพราะราคาทองปรับขึ้นมา 10% ต้องระวังพอสมควร การเข้าซื้อให้เป็นการทยอยเข้าซื้อในแนวรับ และถ้าเข้าซื้อแล้ว สมมุติว่าราคาทองปรับตัวขึ้นไปอีกครั้ง 47,500 ก็เป็นโอกาสที่จะขายทำกำไรออกมาบ้าง เพื่อบรรเทาคสามเสี่ยงพอร์ต แต่ในส่วนของนักลงทุนที่ซื้อทองคำเพราะอยากเก็บไว้เป็นทุนสำรองของครอบครัวสามารถถือต่อได้ และทยอยเข้าซื้อในทุกครั้งที่ทองคำย่อตัวลงมา ซึ่งจะเห็นว่าพอทองย่อตัวลงมา 46,500 เริ่มมีคนเข้าซื้อก็ถือว่าราคาทองคำแท่งไทยแนวรับ 500-1,000 บาททองคำ ก็สามารถทยอยเข้าซื้อได้ทีละก้อน รวมถ้าปรับตัวสูงขึ้นก็อาจจะทยอยขายทำกำไรได้ ทั้งนี้เทรนด์การซื้อทองในอนาคตจะเป็นชิ้นเล็กลง เพราะว่าประกอบการต้องปรบตัวตามกำลังซื้อของผู้ซื้อและปรับตัวมาหลายปีแล้วตั้งแต่ราคาทองปรับตัวสูงขึ้น 20,000 บาททองคำ ซึ่งสมัยก่อนผู้บริโภคนิยมออมทอง เช่น เงินเดือน 15,000 ก็สามาถซื้อทองได้ แต่ปัจจุบันเงินเดือน 15,000 ซื้อทองคำแทบไม่ได้ ดังนั้นผู้บริโภคต้องลดลง ตอนนี้มีทองคำชิ้นเล็ก ๆ ขนาด 0.3 กรัม 0.5 กรัม หรือ 1กรัม มีการผลิตออกมาขายเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในครึ่งปีแรกนั้น ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ มองว่ามีโอกาสสูงที่จะได้เห็นราคาทองคำบาทละ 50,000 จากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น ซึ่งถ้ามองว่าทองคำปรับตัวขึ้น 20% เท่ากับ ทองคำบาทละ 42,600 คูณ 20% =8500 ก็ตกบาทละ 56,000 บาท ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง แต่จะอยู่ในช่วงไหน ต้องดูนโยบาโปร โม ชั่ น. slotxoทดลองซื้อ ฟรี ส ปิ น ppยต่างของทรัมป์ 1.ดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นไปทิศทางใด ถ้าลดลงก็เป็นแรงผลักให้ราคาทองสูง 2.ความขัดแย้งต่าง ๆ เช่น สงครามการค้า ก็จะเป็นแรงดันราคาทองเช่นกัน “ปีนี้มีโอกาสขึ้นสูง แต่ก็มีโอกาสลงเช่น ส่วนตัวเห็นว่าทองคำจะปรับตัวขึ้นมีสูง ซึ่งถ้าทองคำปรับตัวลดลง 1,000-2,000 บาท ควรทยอยเข้าซื้อ หรือบาทละ 44,000-45,000-46,000 พอซื้อได้ แต่ถ้า 47,000 บาท ต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าซื้อทองคำ คล้ายการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งเป็นไปได้ทุกอย่าง ช่วงนี้มีบางส่วนทยอยเข้าซื้อ แต่โอกาสลงมี แต่สำคัญสุด คือ ต้องติดตามนโยบายทรัมป์ และดอกเบี้ย เงินเฟ้อ หรือการแถลงต่าง ๆของทรัมป์ ที่ทำให้ราคาทองค่อนข้างสวิง ทั้งทองแท่งและ Gold Spot สงครามๆต่าง ส่งผลกระทบน้อย แต่ถ้ามีการครุกรุ่นขึ้นมาอีก ก็อาจจะให้ราคาทองสูงขึ้นมาอีกได้” ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวถึงแนวโน้มของร้านทองทั่วประเทศที่อาจจะได้รับผลกระทบจากทองคำที่สูงขึ้น ว่า ปัจจุบันนักลงทุนให้ความสำคัญในการลงทุนทองคำแท่งมากกว่ารูปพรรณ คล้ายกับเป็นการฝากเงินไว้กับธนาคาร เพียงแต่ซื้อในรูปแบบของทองคำแท่งเก็บสะสมออม ส่วนทองรูปพรรณเมื่อราคาทองปรับตัวสูงขึ้น การที่จะเข้าซื้อรูปพรรณเพื่อสวมใส่ อาจจะมีดีมานด์ลดลงไปอย่างน่ากลัวทำให้ส่งผลกระทบกับร้านทองทั่วประเทศที่จะต้องปรับตัว จากการที่รายได้หดหาย เพราะส่วนมากทองรูปพรรณจะเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากในอดีตไม่ว่าจะซื้อเป็นของขวัญ สวมใส่เป็นแฟชั่น และร้านทองเองได้ค่ากำเหน็จเพื่อใช้จ่ายในร้านทอง แต่ปัจจุบันการค้าทองรูปพรรณหดตัวไปมาก ทำให้ร้านทองส่งผลกระทบ สุดท้ายแล้วถ้าราคาทองคำปรับตัวลดลง และเศรษฐกิจโดยร่วมของประเทศดีขึ้น ตลาดทุนดีขึ้น สุดท้ายผู้บริโภคก็จะมีเงินบางส่วนไหลกลับมาที่ทองรูปพรรณแน่นอน เพราะทองรูปพรรณไทยถือว่า เป็นสินค้าที่มีความสำคัญกับวัฒนธรรมไทยมาเป็น 100 ปี แม้ว่าวันนี้ "ทองคำ"เริ่มปรับตัวลงตามสถานการณ์โลกที่ไม่หวือหวาเหมือนช่วงต้นปี แต่ "ทองคำ" ยังน่าลงทุน เนื่องจากยังเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและจากนี้ไปคงต้องลุ้นว่า จะได้เห็นราคา "ทองคำ" แตะอยู่ 50,000 บาท ได้หรือไม่ อ่านข่าว: สรุปราคาทองคำ 19 ก.พ. 2568 ปิดตลาดบวกแรง 500 บาท “ทองคำ” โอกาสนักลงทุน บนวิกฤต “ทรัมป์ป่วน” เศรษฐกิจโลก สรุปราคาทองคำ 11 ก.พ. 2568 ปิดตลาดร่วงเหลือ 250 บาท เรื่องต้องรู้ ก่อนลงทุนทองคำ กับความเสี่ยงที่ต้องระวัง ส่องสถิติราคาทองคำย้อนหลัง 10 ปี ลุ้นปี 2568 ไปสุดที่เท่าไหร่?
เปิดศักราชปี 2568 ราคาทองคำพุ่งแรงต่อเนื่อง จนเกือบจะแตะบาทละ 50,000 บาท นับตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจ