เชื้อดื้อยา หรือ Antimicrobial Resistance (AMR) คือ ภาวะที่เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความสามารถในการต้านทาน

วันนี้ (22 ก.พ.2565) รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat" ระบุว่า ทะลุ 426 ล้านแล้ว เมื่อวานนี้ ทั่วโลกติดเพิ่มสูงถึง 1,244,281 คน ตายเพิ่ม 6,097

เชื้อดื้อยา หรือ Antimicrobial Resistance (AMR) คือ ภาวะที่เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความสามารถในการต้านทานยาปฏิชีวนะ ทำใหตรวจสอบสอบสถานะเงินเยียวยาเกษตรกร้ยาที่เคยรักษาได้ผลกลายเป็นไร้ประสิทธิภาพ เช่น เชื้อที่ก่อโรคปอดบวมหรือติดเชื้อในกระแสเลือดอาจไม่ตอบสนองต่อยามาตรฐาน ส่งผลให้การรักษายากขึ้นหรือรักษาไม่ได้เลย องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ปัญหานี้เป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่ร้ายแรงที่สุดในศตวรรษที่ 21 โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2593 เชื้อดื้อยาอาจคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกถึง 10 ล้านคน/ปี ผลกระทบของ "เชื้อดื้อยา" ไม่ได้จำกัดแค่ด้านสุขภาพ แต่ยังกระทบเศรษฐกิจและสังคม การรักษาที่ล้มเหลวทำให้ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น ต้องใช้ยาที่แพงกว่า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยเผยว่า ในประเทศไทย เชื้อดื้อยาทำให้เกิดค่าใช้จ่ายด้านการรักษามากกว่า 120,000 ล้านบาท/ปี และคร่าชีวิตผู้คนมากกว่าอุบัติเหตุทางถนนถึง 2 เท่า การแพร่กระจายของเชื้อดื้อยายังเกิดได้ง่ายผ่านการสัมผัส การเดินทาง หรือน้ำเสียจากโรงพยาบาล ทำให้ทุกคนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะอยู่ในชุมชนหรือสถานพยาบาล ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสมเป็นสาเหตุหลักของเชื้อดื้อยา เช่น การซื้อยามากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ การขอให้แพทย์สั่งยาโดยไม่จำเป็น หรือการหยุดยาเมื่ออาการดีขึ้นก่อนครบกำหนด ล้วนกระตุ้นให้แบคทีเรียปรับตัวและพัฒนาความต้านทาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รายงานว่า ในประเทศไทย มีการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นถึงร้อยละ 50-60 ของกรณีทั้งหมด โดยเฉพาะในโรคที่เกิดจากไวรัส เช่น หวัดหรือท้องเสีย การใช้ยาที่ไม่ถูกต้องยังรบกวนสมดุลของแบคทีเรียในร่างกาย โดยเฉพาะแบคทีเรียดีในลำไส้ ซึ่งช่วยย่อยอาหารและเสริมภูมิคุ้มกัน เมื่อแบคทีเรียดีถูกทำลาย แบคทีเรียดื้อยาจะเติบโตและแพร่กระจาย นอกจากนี้ การใช้ยาปฏิชีวนะในปศุสัตว์และเกษตรกรรมอย่างแพร่หลายโดยไม่ควบคุมก็ทำให้เชื้อดื้อยาแพร่สู่มนุษย์ผ่านอาหารและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุขเน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมการใช้ยาทั้งในมนุษย์และสัตว์ เพื่อลดการเกิดเชื้อดื้อยาในระยะยาว ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย คือ การคิดว่ายาปฏิชีวนะและยาแก้อักเสบเป็นยาเดียวกัน ยาปฏิชีวนะ เช่น Amoxicillin หรือ Ciprofloxacin มีฤทธิ์ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย แต่ไม่มีผลต่ออาการอักเสบ ลดบวม หรือบรรเทาปวด ส่วนยาแก้อักเสบ เช่น Ibuprofen หรือ Diclofenac ช่วยลดการอักเสบ ลดปวด และลดบวม แต่ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ความสับสนนี้มักนำไปสู่การใช้ยาผิดวัตถุประสงค์ เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการปวด บวม หรือมีไข้ อาจขอให้แพทย์สั่งยาปฏิชีวนะโดยคิดว่าจะช่วยให้หายเร็วขึ้น สภาเภสัชกรรมระบุว่า การใช้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่ไม่จำเป็น เช่น อาการปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบหรือบาดเจ็บ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาในชุมชน การรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจความแตกต่างระหว่างยาทั้งสองประเภทจึงจำเป็น เพื่อลดการใช้ยาผิดประเภทและปกป้องประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะ ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว กรมควบคุมโรคระบุว่ากว่าร้อยละ 80 ของโรคหวัดและเจ็บคอเกิดจากไวรัส เช่น ไรโนไวรัส หรือ อินฟลูเอนซา และสามารถหายได้เองภายใน 7-10 วันโดยการพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ การรักษาควรเน้นบรรเทาอาการด้วยยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ หรือสเปรย์พ่นคอ ยกเว้นกรณีที่มีสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ไข้สูงและมีหนองที่ต่อมทอนซิล ซึ่งต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ ในกรณีท้องเสียเฉียบพลัน ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส เช่น โรตาไวรัส หรือการปนเปื้อนของอาหาร การรักษาควรเน้นชดเชยน้ำและเกลือแร่ด้วยสารละลาย ORS มักหายได้เองภายใน 1-3 วัน ยกเว้นในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีอาการรุนแรง เช่น ถ่ายเป็นมูกเลือด ซึ่งอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะภายใต้คำสั่งแพทย์ ส่วนแผลสดจากอุบัติเหตุทั่วไป หากทำความสะอาดดีด้วยน้ำเกลือและปิดแผลให้สะอาด ไม่มีสัญญาณติดเชื้อ เช่น บวมแดงหรือมีหนอง มักไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ยกเว้นแผลลึก แผลจากการถูกสัตว์กัด หรือแผลที่มีสิ่งสกปรกปนเปื้อนมาก ซึ่งอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นการรักษาที่เหมาะสม การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญในการลดปัญหาเชื้อดื้อยา ข้อปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่ ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว สถานการณ์ปัจจุบัน การพัฒนายาปฏิชีวนะชนิดใหม่ยังเผชิญความท้าทาย ทั้งในแง่เวลาและค่าใช้จ่ายที่สูง ส่วนหนึ่งมาจาก แบคทีเรียที่พัฒนาความต้านทานได้เร็วกว่าการค้นพบยาใหม่ WHO ระบุว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนายาปฏิชีวนะใหม่เพียงไม่กี่ชนิด และยาหลายตัวก็ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย อาจไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันกับโรค การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบจึงเป็นทางออกที่ยั่งยืนที่สุด กระทรวงสาธารณสุขได้ออกนโยบายควบคุมการจำหน่ายยาปฏิชีวนะในร้านยา และส่งเสริมการใช้ยาตามใบสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดการเข้าถึงยาโดยไม่จำเป็น การร่วมมือในระดับนานาชาติและการให้ความรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยรักษาประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะให้คงอยู่เพื่อคนรุ่นต่อไป ปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ แก้อักเสบลดบวม คนละตัว ห้ามใช้สลับ ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ที่มา : WHO, กระทรวงสาธารณสุข, สสส., สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย อ่านข่าวอื่น : "แกงขี้เหล็ก" ยิ่งกิน ยิ่งอุ่น เสริมภูมิต้านทานช่วงเปลี่ยนฤดู “สำนักพุทธฯ” ทำอะไร? ในวันที่ “ศรัทธาพระพุทธศาสนา” อ่อนไหว

วันนี้ (13 เม.ย.2568) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจหลังช่วงสงกรานต์ ว่า วันนี้การประสานพลังสามัคคีกันก็ยากอยู่แล้ว ยิ่งมีปัจจัยภายนอกรุมเร้า ทั้งสงครามการค้าที่มีการเปลี