Home
|
ตาราง คะแนน ฟุตบอล พรีเมียร์

เมื่อวันที่ 21 ก.พ.2565 ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชนบ้

ตาราง คะแนน ฟุตบอล พรีเมียร์

วันนี้ (11 มี.ค. 2564) ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย กรณี นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และ นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ขอให้ศาลวินิจฉัยกรณีรัฐสภาเสนอตั้ง ส.ส.ร. แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีสาระสำคัญระบุว่

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม – ตุลาคม) อินโดนีเซียกลายเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย สาเหตุหลักมาจากอินโดนีเซียกำลังประสบปั

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม – ตุลาคม) อินโดนีเซียกลายเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย สาเหตุหลักมาจากอินโดนีเซียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนข้าว เนื่องจากภัยแล้งที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ รวมถึงฤดูมรสุมที่ล่าช้า ทำให้อินโดนีเซียปลูกข้าวได้น้อยลง ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) รายงานว่า ผลผลิตข้าวอินโดนีเซียในฤดูฝนอาจลดลง เนื่องจากฤดูมรสุมล่าช้าคาดการณ์ผลผลิตข้าวของอินโดนีเซีย ปี 2566/67 อยู่ที่ 33.5 ล้านตัน (ข้าวสีแล้ว) ปรับลดลงร้อยละ 3 ทั้งนี้อินโดนีเซียปลูกข้าวได้ 3 รอบในหนึ่งปี รอบแรกปลูกในฤดูฝนเป็นหลัก ช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม (ประมาณร้อยละ 45 ของการปลูกข้าวทั้งหมด) และเก็บเกี่ยวช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และปลูกในฤดูแล้งอีก 2 รอบ ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกข้าวหลักของอินโดนีเซียจะปลูกบริเวณพื้นที่ราบลุ่มและพื้นที่สูงทั่วประเทศ มีทั้งนาชลประทานและนาน้ำฝน แต่การทำนาส่วนใหญ่ของอินโดนีเซียอาศัยน้ำจากระบบชลประทานถึงร้อยละ 85 โดยจะใช้ในพื้นที่เพาะปลูกเป็นที่ราบลุ่ม ซึ่งต้องอาศัยน้ำฝนเพื่อเติมปริมาณน้ำให้กับระบบชลประทานอยู่เสมอ นายนภินทร กล่าวอีกว่า พื้นที่ปลูกข้าวของอินโดนีเซียมีแนวโน้มลดลงในปี 2566/67 สาเหตุหลักมาจากความล่าช้าของฤดูมรสุมและปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดความแห้งแล้งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณเกาะชวา ซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกหลัก รวมทั้งบางส่วนของเกาะสุมาตราตอนใต้ ในช่วงตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมที่ปริมาณน้ำฝนสะสมมีแนวโน้มต่ำกว่าปกติ ขณะที่ฤดูฝนปี 2566 ก็มีความล่าช้าออกไป ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถเริ่มปลูกข้าวได้ตามช่วงเวลาที่เคยเป็น และทำให้เกษตรกรที่อยู่ในเขตปลูกข้าวพื้นที่ราบสูงที่ต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยลง เช่น ข้าวโพด เป็นต้น อ่านข่าว: ยิ้มแก้มปริ! จ่ายแล้วเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ให้เกษตรกร 4.68 ล้านครัวเรือน จากสถานการณ์และแนวโน้มดังกล่าวทำให้อินโดนีเซียนำเข้าข้าวจาก ไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในปี 2565 ไทยมีปริมาณการส่งออกข้าวไปยังอินโดนีเซีย 91,714 ตัน เป็นมูลค่า 42.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,511.55 ล้านบาท) มูลค่าการส่งออกไปอินโดนีเซียคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.06 ของมูลค่าการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด และอินโดนีเซียเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับที่ 20 ของไทย สำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม – ตุลาคม) การส่งออกข้าวไทยไปยังอินโดนีเซียมีปริมาณสูงถึง 1,057,537 ตัน คิดเป็นมูลค่า 523.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (18,035.56 ล้านบาท) มูลค่าการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.19ของมูลค่าการส่งออกข้าวไทยช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 ทำให้ปัจจุบันอินโดนีเซียกลายเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย โดยข้าวที่ส่งออกไปอินโดนีเซียส่วนใหญ่ คือ ข้าวขาว 5 – 10% สำหรับภาพรวมการส่งออกข้าวของไทย ในช่วง ตาราง คะแนน ฟุตบอล พรีเมียร์10 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม – ตุลาคม) มีปริมาณการส่งออกรวม 6,922,649 ตัน ปริมาณข้าวส่งออกขยายตัวร้อยละ 11.4เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่า 3,967.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(136,289.84 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 24.7 ตลาดส่งออกข้าวของไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา แอฟริกาใต้ จีน นายนภินทร กล่าวอีกว่าปัจจุบันความต้องการข้าวจากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาภัยแล้งและปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้ผลผลิตข้าวลดลง และการให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหาร ทำให้เกิดความพยายามในการนำเข้าเพื่อสำรองปริมาณข้าวให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ รวมทั้งการระงับการส่งออกข้าวของอินเดีย และเมียนมา จึงถือเป็นโอกาสที่จะผลักดันและขยายตลาดส่งออกข้าวไทย อินโดนีเซียกลายเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย อินโดนีเซียกลายเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย นอกจากนี้ยังต้องเร่งปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์ข้าว เพิ่มความหลากหลาย เน้นให้มีผลผลิตต่อไร่สูง ต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืช เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับข้าวไทย และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เช่น ข้าวพื้นนุ่ม ขณะเดียวกันเกษตรกรควรเตรียมความพร้อมหาแนวทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ การปลูกข้าวแบบใช้น้ำน้อย ทำนาแบบยั่งยืนที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งต้องติดตามมาตรการบริหารจัดการน้ำสำหรับการเพาะปลูก เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบจากภัยแล้ง นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ผู้นำเข้าที่สำคัญของไทยยังคงนำเข้าข้าวเพื่อชดเชยอุปทานข้าวในประเทศที่ลดลง และสำรองไว้ใช้ในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า โดยส่งออกข้าวขาวมีปริมาณ 503,445 ตัน เพิ่มขึ้น 44% เทียบกับเดือนก่อน ตลาดหลัก เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ญี่ปุ่น อิรัก โมซัมบิก ฟิลิปปินส์ แองโกล่า เป็นต้น ขณะที่ส่งออกข้าวนึ่ง มีปริมาณ 102,816 ตัน ลดลง 56.5% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ส่งไปยังตลาดหลัก เช่น แอฟริกาใต้ เยเมน เป็นต้น ส่วนส่งออกข้าวหอมมะลิ (ต้นข้าว) ปริมาณ 108,942 ตัน เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนส่งไปยังตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ฮ่องกง สิงคโปร์ ฝรั่งเศส ทั้งนี้สมาคมฯคาดว่าในพ.ย. ปริมาณส่งออกข้าวจะอยู่ที่ระดับประมาณ 800,000-900,000 ตัน และทั้งปีนี้จะส่งออกได้ตามเป้าที่ 8.5 ล้านตัน เนื่องจากผู้ส่งออกยังมีสัญญาส่งมอบข้าวในช่วงปลายปีจำนวนมาก ประกอบกับ ผู้นำเข้าที่สำคัญในเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น รวมทั้งตลาดประจำในภูมิภาคแอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา และประเทศในแถบอเมริกาใต้ เช่น บราซิล ที่มีการนำเข้าข้าวอย่างต่อเนื่องทั้งข้าวขาว ข้างนึ่ง และข้าวหอม เพื่อชดเชยอุปทานข้าวในประเทศที่ลดลง และสำรองไว้ใช้ในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า ประกอบกับในช่วงนี้ผลผลิตข้าวฤดูใหม่ของไทยออกสู่ตลาดมากขึ้น ในขณะราคาข้าวของไทยอยู่ในระดับที่แข่งขันได้และยังคงต่ำกว่าราคาข้าวของเวียดนามจึงทำให้ผู้นำเข้าข้าวหันมาซื้อข้าวไทยมากขึ้น โดยราคาข้าวไทยข้าวขาว 5% ของไทย ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ 640 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม อยู่ที่ 663-667 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และปากีสถาน 598-602 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่วนราคาข้าวนึ่งไทยอยู่ที่ 640 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่ข้าวนึ่งอินเดีย อยู่ที่498-502 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และปากีสถานอยู่ที่ 546-550 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน อ่านข่าว: "กล้วยหอมทองเสิงสาง" รุกตลาดเอเซีย ญี่ปุ่นสั่งซื้อ 5,000 ตัน ทองคำฉุดไม่อยู่พุ่ง 250 บาท คาดปี 67 ปรับขึ้น แนะนักลงทุนช้อนซื้อ

วันนี้ (31 ธ.ค.2567) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ประชาชนหลายพันคนในนครซิดนีย์ของออสเตรเลีย ต่างไปป

ความคืบหน้าภารกิจนำ "พลายศักดิ์สุรินทร์" จากประเทศศรีลังกา กลับมารักษาอาการบาดเจ็บประเทศไทยคาดว่าจะเ

วันนี้ (18 ม.ค.2566) เก่ง-การุณ โหสกุล ส.ส. ดอนเมือง พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาเอ

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม – ตุลาคม) อินโดนีเซียกลายเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย สาเหตุหลักมาจากอินโดนีเซียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนข้าว เนื่องจากภัยแล้งที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ รวมถึงฤดูมรสุมที่ล่าช้า ทำให้อินโดนีเซียปลูกข้าวได้น้อยลง ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) รายงานว่า ผลผลิตข้าวอินโดนีเซียในฤดูฝนอาจลดลง เนื่องจากฤดูมรสุมล่าช้าคาดการณ์ผลผลิตข้าวของอินโดนีเซีย ปี 2566/67 อยู่ที่ 33.5 ล้านตัน (ข้าวสีแล้ว) ปรับลดลงร้อยละ 3 ทั้งนี้อินโดนีเซียปลูกข้าวได้ 3 รอบในหนึ่งปี รอบแรกปลูกในฤดูฝนเป็นหลัก ช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม (ประมาณร้อยละ 45 ของการปลูกข้าวทั้งหมด) และเก็บเกี่ยวช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และปลูกในฤดูแล้งอีก 2 รอบ ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกข้าวหลักของอินโดนีเซียจะปลูกบริเวณพื้นที่ราบลุ่มและพื้นที่สูงทั่วประเทศ มีทั้งนาชลประทานและนาน้ำฝน แต่การทำนาส่วนใหญ่ของอินโดนีเซียอาศัยน้ำจากระบบชลประทานถึงร้อยละ 85 โดยจะใช้ในพื้นที่เพาะปลูกเป็นที่ราบลุ่ม ซึ่งต้องอาศัยน้ำฝนเพื่อเติมปริมาณน้ำให้กับระบบชลประทานอยู่เสมอ นายนภินทร กล่าวอีกว่า พื้นที่ปลูกข้าวของอินโดนีเซียมีแนวโน้มลดลงในปี 2566/67 สาเหตุหลักมาจากความล่าช้าของฤดูมรสุมและปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดความแห้งแล้งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณเกาะชวา ซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกหลัก รวมทั้งบางส่วนของเกาะสุมาตราตอนใต้ ในช่วงตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมที่ปริมาณน้ำฝนสะสมมีแนวโน้มต่ำกว่าปกติ ขณะที่ฤดูฝนปี 2566 ก็มีความล่าช้าออกไป ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถเริ่มปลูกข้าวได้ตามช่วงเวลาที่เคยเป็น และทำให้เกษตรกรที่อยู่ในเขตปลูกข้าวพื้นที่ราบสูงที่ต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยลง เช่น ข้าวโพด เป็นต้น อ่านข่าว: ยิ้มแก้มปริ! จ่ายแล้วเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ให้เกษตรกร 4.68 ล้านครัวเรือน จากสถานการณ์และแนวโน้มดังกล่าวทำให้อินโดนีเซียนำเข้าข้าวจาก ไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในปี 2565 ไทยมีปริมาณการส่งออกข้าวไปยังอินโดนีเซีย 91,714 ตัน เป็นมูลค่า 42.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,511.55 ล้านบาท) มูลค่าการส่งออกไปอินโดนีเซียคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.06 ของมูลค่าการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด และอินโดนีเซียเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับที่ 20 ของไทย สำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม – ตุลาคม) การส่งออกข้าวไทยไปยังอินโดนีเซียมีปริมาณสูงถึง 1,057,537 ตัน คิดเป็นมูลค่า 523.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (18,035.56 ล้านบาท) มูลค่าการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.19ของมูลค่าการส่งออกข้าวไทยช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 ทำให้ปัจจุบันอินโดนีเซียกลายเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย โดยข้าวที่ส่งออกไปอินโดนีเซียส่วนใหญ่ คือ ข้าวขาว 5 – 10% สำหรับภาพรวมการส่งออกข้าวของไทย ในช่วง ตาราง คะแนน ฟุตบอล พรีเมียร์10 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม – ตุลาคม) มีปริมาณการส่งออกรวม 6,922,649 ตัน ปริมาณข้าวส่งออกขยายตัวร้อยละ 11.4เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่า 3,967.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(136,289.84 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 24.7 ตลาดส่งออกข้าวของไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา แอฟริกาใต้ จีน นายนภินทร กล่าวอีกว่าปัจจุบันความต้องการข้าวจากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาภัยแล้งและปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้ผลผลิตข้าวลดลง และการให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหาร ทำให้เกิดความพยายามในการนำเข้าเพื่อสำรองปริมาณข้าวให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ รวมทั้งการระงับการส่งออกข้าวของอินเดีย และเมียนมา จึงถือเป็นโอกาสที่จะผลักดันและขยายตลาดส่งออกข้าวไทย อินโดนีเซียกลายเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย อินโดนีเซียกลายเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย นอกจากนี้ยังต้องเร่งปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์ข้าว เพิ่มความหลากหลาย เน้นให้มีผลผลิตต่อไร่สูง ต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืช เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับข้าวไทย และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เช่น ข้าวพื้นนุ่ม ขณะเดียวกันเกษตรกรควรเตรียมความพร้อมหาแนวทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ การปลูกข้าวแบบใช้น้ำน้อย ทำนาแบบยั่งยืนที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งต้องติดตามมาตรการบริหารจัดการน้ำสำหรับการเพาะปลูก เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบจากภัยแล้ง นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ผู้นำเข้าที่สำคัญของไทยยังคงนำเข้าข้าวเพื่อชดเชยอุปทานข้าวในประเทศที่ลดลง และสำรองไว้ใช้ในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า โดยส่งออกข้าวขาวมีปริมาณ 503,445 ตัน เพิ่มขึ้น 44% เทียบกับเดือนก่อน ตลาดหลัก เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ญี่ปุ่น อิรัก โมซัมบิก ฟิลิปปินส์ แองโกล่า เป็นต้น ขณะที่ส่งออกข้าวนึ่ง มีปริมาณ 102,816 ตัน ลดลง 56.5% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ส่งไปยังตลาดหลัก เช่น แอฟริกาใต้ เยเมน เป็นต้น ส่วนส่งออกข้าวหอมมะลิ (ต้นข้าว) ปริมาณ 108,942 ตัน เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนส่งไปยังตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ฮ่องกง สิงคโปร์ ฝรั่งเศส ทั้งนี้สมาคมฯคาดว่าในพ.ย. ปริมาณส่งออกข้าวจะอยู่ที่ระดับประมาณ 800,000-900,000 ตัน และทั้งปีนี้จะส่งออกได้ตามเป้าที่ 8.5 ล้านตัน เนื่องจากผู้ส่งออกยังมีสัญญาส่งมอบข้าวในช่วงปลายปีจำนวนมาก ประกอบกับ ผู้นำเข้าที่สำคัญในเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น รวมทั้งตลาดประจำในภูมิภาคแอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา และประเทศในแถบอเมริกาใต้ เช่น บราซิล ที่มีการนำเข้าข้าวอย่างต่อเนื่องทั้งข้าวขาว ข้างนึ่ง และข้าวหอม เพื่อชดเชยอุปทานข้าวในประเทศที่ลดลง และสำรองไว้ใช้ในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า ประกอบกับในช่วงนี้ผลผลิตข้าวฤดูใหม่ของไทยออกสู่ตลาดมากขึ้น ในขณะราคาข้าวของไทยอยู่ในระดับที่แข่งขันได้และยังคงต่ำกว่าราคาข้าวของเวียดนามจึงทำให้ผู้นำเข้าข้าวหันมาซื้อข้าวไทยมากขึ้น โดยราคาข้าวไทยข้าวขาว 5% ของไทย ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ 640 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม อยู่ที่ 663-667 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และปากีสถาน 598-602 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่วนราคาข้าวนึ่งไทยอยู่ที่ 640 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่ข้าวนึ่งอินเดีย อยู่ที่498-502 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และปากีสถานอยู่ที่ 546-550 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน อ่านข่าว: "กล้วยหอมทองเสิงสาง" รุกตลาดเอเซีย ญี่ปุ่นสั่งซื้อ 5,000 ตัน ทองคำฉุดไม่อยู่พุ่ง 250 บาท คาดปี 67 ปรับขึ้น แนะนักลงทุนช้อนซื้อ

วันนี้ (4 ส.ค.2567) มีรายงานว่า เครื่องบินขนอาวุธจากรัสเซียจำนวนมากเดินทางสู่อิหร่าน คาดเสริมกำลังกอ