UID: 33334

รมว.กลาโหมยันโยกย้ายภายในกระทรวงเป็นอำนาจรัฐมนตรี การโยกย้ายข้าราชการที่ถูกร้องเรียนว่ามีฝ่ายการเมือ

วันนี้ (29 ส.ค.2565) แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกระแสกดดันให้รัฐบาลยุ

รมว.กลาโหมยันโยกย้ายภายในกระทรวงเป็นอำนาจรัฐมนตรี การโยกย้ายข้าราชการที่ถูกร้องเรียนว่ามีฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซงอยู่ขณะนี้ยังไม่เกิดขึ้นกับการโยกย้ายข้าราชการทหาร เนื่องจากมีร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหมปี 2551กำหนดให้มีคณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งโยกย้าย ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยืนยันว่าการแต่งตั้งโยกย้ายภายในกระทรวงกลาโหมถือเป็นอำนาจของรัฐมนตรีพิจารณา หลังมีความเห็นเสนอชื่อโยกย้ายไม่ตรงกันระหว่างกองทัพกับฝ่ายการเมือง ซึ่งอาจจะมีการยื่นให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความในประเด็นนี้ รมว.กลาโหมยันโยกย้ายภายในกระทรวงเป็นอำนาจรัฐมนตรี แม้ว่าร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมปี 2551 จะระบุถึงพิจารณาแต่งตั้งนายทหารระดับนายพลของสำนักงานปลัดกระทรวงและส่วนราชการในกองทัพ ต้องผ่านคณะกรรมการที่ส่วนราชการแต่งตั้งขึ้นแต่กรณีการแต่งตั้งโยกย้ายภายในกระทรวงกลาโหมที่ยังไม่ลงตัวนั้น ทำให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งถือเป็นฝ่ายการเมืองยืนยันว่าการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และจเรทหารนั้นเป็นอำนาจของรัฐมนตรี โดยอาจจะเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความอำนาจของรัฐมนตรี เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้กับรัฐมนตรีกลาโหม คนต่อไป ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวระหว่างการตรวจพลสวนสนามบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร ในโอกาสอำลาเกษียณอายุราชการ ยอมรับว่ากรรมการไม่ได้ใช้วิธีโหวตในการพิจารณาโยกย้ายนายทหาร และถือว่าการประชุมเสร็จสิ้นแล้วโดยจะไม่มีการเรียกประชุมอีก ส่วนกรณีตีความขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะตัดสินใจ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวยอมรับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยื่นเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความอำนาจของรัฐมนตรีที่ให้เป็นผู้เสนอชื่อผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง หลังมีความเห็นไม่ตรงกันผู้ในการโยกย้าย โดยระบุว่าเป็นเรื่องที่ทำได้เพื่อให้เกิดความรัดกุม และรอบคอบ ซึ่งถือเป็นกรณีกฎหมายที่ไม่สามารถทำโดยพลการได้ สำหรับตำแหน่งที่ยังไม่ลงตัวคือการเสนอให้ พล.อ.วิทวัส รัชตะนันทน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม และเสนอ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดซึ่งความเห็นของฝ่ายการเมืองไม่ตรงกับความเห็นกองทัพ ทั้งนี้ การแก้ไขรายชื่อหลังคณะกรรมการพิจารณาแล้ว ผู้ที่ได้รับความเสียหายในการแทรกแซงล้วงลูกสามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ และการปรับเปลี่ยนรายชื่อโยกย้ายนายทหารผิดไปจากมติคณะกรรมการยังเข้าข่ายความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 การปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้ว่าร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมปี 2551 ตาราง uefaจะระบุถึงพิจารณาแต่งตั้งนายทหารระดับนายพลของสำนักงานปลัดกระทรวงและส่วนราชการในกองทัพ ต้องผ่านคณะกรรมการที่ส่วนราชการแต่งตั้งขึ้นแต่กรณีการแต่งตั้งโยกย้ายภายในกระทรวงกลาโหมที่ยังไม่ลงตัวนั้น ทำให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งถือเป็นฝ่ายการเมืองยืนยันว่าการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และจเรทหารนั้นเป็นอำนาจของรัฐมนตรี โดยอาจจะเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความอำนาจของรัฐมนตรี เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้กับรัฐมนตรีกลาโหม คนต่อไป ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวระหว่างการตรวจพลสวนสนามบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร ในโอกาสอำลาเกษียณอายุราชการ ยอมรับว่ากรรมการไม่ได้ใช้วิธีโหวตในการพิจารณาโยกย้ายนายทหาร และถือว่าการประชุมเสร็จสิ้นแล้วโดยจะไม่มีการเรียกประชุมอีก ส่วนกรณีตีความขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะตัดสินใจ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวยอมรับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยื่นเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความอำนาจของรัฐมนตรีที่ให้เป็นผู้เสนอชื่อผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง หลังมีความเห็นไม่ตรงกันผู้ในการโยกย้าย โดยระบุว่าเป็นเรื่องที่ทำได้เพื่อให้เกิดความรัดกุม และรอบคอบ ซึ่งถือเป็นกรณีกฎหมายที่ไม่สามารถทำโดยพลการได้ สำหรับตำแหน่งที่ยังไม่ลงตัวคือการเสนอให้ พล.อ.วิทวัส รัชตะนันทน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม และเสนอ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดซึ่งความเห็นของฝ่ายการเมืองไม่ตรงกับความเห็นกองทัพ ทั้งนี้ การแก้ไขรายชื่อหลังคณะกรรมการพิจารณาแล้ว ผู้ที่ได้รับความเสียหายในการแทรกแซงล้วงลูกสามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ และการปรับเปลี่ยนรายชื่อโยกย้ายนายทหารผิดไปจากมติคณะกรรมการยังเข้าข่ายความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 การปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

"ยิ่งลักษณ์" เหลือคดีเดียวคุก 5 ปี ย้อนเส้นทางก่อนหนีคดีถึงจังหวะนี้เรียกว่า "เหมาะสม" ที่ น.ส.ยิ่งล