วันนี้ (17 มี.ค.2568) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐ

นโยบายรถยนต์คันแรก แรงกระตุ้นตลาดขายได้คาดถึง 1 ล้านคัน ปี 2554-2555 มติครม. เสนอเงื่อนไขคืนเงินเสียรถยนต์คันแรก จะทำให้ตลาดเกิดการแข่งขันกันนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของค่ายรถออกมา นโยบายรถยนต์คันแรก แรงกร
วันที่ 13 ก.พ.2568 เวลา 17.24 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล
นโยบายรถยนต์คันแรก แรงกระตุ้นตลาดขายได้คาดถึง 1 ล้านคัน ปี 2554-2555 มติครม. เสนอเงื่อนไขคืนเงินเสียรถยนต์คันแรก จะทำให้ตลาดเกิดการแข่งขันกันนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของค่ายรถออกมา นโยบายรถยนต์คันแรก แรงกระตุ้นตลาดขายได้คาดถึง 1 ล้านคัน ปี 2554-2555 จากมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายการคืนภาษีสำหรับรถยนต์คันแรกที่มีข้อสรุปออกมาในวันที่ 13 กันยายน 2554 ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางตลอดตั้งแต่ช่วงการจัดการเลือกตั้งเมื่อกลางปี 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นนโยบายที่จะมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อรถของผู้บริโภค และการวางแนวทางการทำตลาดของค่ายรถยนต์เพื่อให้สอดคล้องกับประโยชน์ที่จะได้รับจากนโยบาย โดยผลของนโยบายที่ออกมานี้ย่อมมีส่วนอย่างมากในการกำหนดทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศในช่วงที่เหลือของปี 2554 และตลอดทั้งปี 2555 ซึ่งเป็นช่วงที่นโยบายมีผลบังคับใช้ จากหลักเกณฑ์สำคัญสำหรับผู้ซื้อรถที่จะได้รับคืนเงินภาษี คือ รถที่ซื้อนั้นจะต้องมีราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาท และอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 cc. รถกระบะ (Pick up) และรถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) รวมถึงเกณฑ์ในการคืนภาษีจะคืนให้เท่ากับภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์แต่ละคันต้องจ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท ทำให้ตลาดรถยนต์ที่ได้รับประโยชน์ถูกจำกัดให้แคบลงโดยหากมองถึงศักยภาพในการซื้อรถของผู้ซื้อซึ่งต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยครอบครองรถมาก่อน ราคาจำหน่ายรถยนต์แต่ละรุ่น และจำนวนเงินคืนภาษีซึ่งเปรียบเสมือนส่วนลดของราคารถยนต์แล้ว ทั้งรถอีโคคาร์ และรถยนต์นั่ง (<1,500 cc) ดูจะเป็นประเภทของรถที่มีโอกาสทำยอดขายได้สูงกว่ารถอีก 2 ประเภทที่เหลือ จากผลของนโยบายรถคันแรกนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงที่เหลือของปี 2554 ท่ามกลางการแข่งขันกันนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของค่ายรถออกมา ทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2554 นี้ มีโอกาสขยายตัวสูงถึงร้อยละ 12 ถึง 17 หรือคิดเป็นจำนวนยอดขายรถยนต์ 900,000 ถึง 940,000 คัน เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าที่ 880,000 ถึง 920,000 คัน และเนื่องจากผลของนโยบายดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2555 ประกอบกับจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่เตรียมจะเปิดตัวออกสู่ตลาดในปีหน้านี้ ทำให้คาดว่าตลาดรถยนต์จะยังได้รับอานิสงส์ ของนโยบายต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2555 ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2555 มีโอกาสขยายตัวร้อยละ 7-12 หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ 980,000 ถึง 1,030,000 คัน นอกเหนือจากผลของนโยบายรถคันแรก การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด และรายได้ของเกษตรกรที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์แล้ว ยังอาจต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะผลของทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และมีโอกาสที่จะชะลอตัวลงได้ ซึ่งจะกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยในปีหน้านี้ ซึ่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอาจต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกำลังการผลิตรถยนต์บางรุ่นที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าระดับปกติ จากมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายการคืนภาษีสำหรับรถยนต์คันแรกที่มีข้อสรุปออกมาในวันที่ 13 กันยายน 2554 ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางตลอดตั้งแต่ช่วงการจัดการเลือกตั้งเมื่อกลางปี 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นนโยบายที่จะมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อรถของผู้บริโภค และการวางแนวทางการทำตลาดของค่ายรถยนต์เพื่อให้สอดคล้องกับประโยชน์ที่จะได้รับจากนโยบาย โดยผลของนโยบายที่ออกมานี้ย่อมมีส่วนอย่างมากในการกำหนดทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศในช่วงที่เหลือของปี 2554 และตลอดทั้งปี 2555 ซึ่งเป็นช่วงที่นโยบายมีผลบังคับใช้ จากหลักเกณฑ์สำคัญสำหรับผู้ซื้อรถที่จะได้รับคืนเงินภาษี คือ รถที่ซื้อนั้นจะต้องมีราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาท และอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 cc. รถกระบะ (Pick up) และรถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) รวมถึงเกณฑ์ในการคืนภาษีจะคืนให้เท่ากับภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์แต่ละคันต้องจ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท ทำให้ตลาดรถยนต์ที่ได้รับประโยชน์ถูกจำกัดให้แคบลงโดยหากมองถึงศักยภาพในการซื้อรถของผู้ซื้อซึ่งต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยครอบครองรถมาก่อน ราคาจำหน่ายรถยนต์แต่ละรุ่น และจำนวนเงินคืนภาษีซึ่งเปรียบเสมือนส่วนลดของราคารถยนต์แล้ว ทั้งรถอีโคคาร์ และรถยนต์นั่ง (<1,500 cc) ดูจะเป็นประเภทของรถที่มีโอกาสทำยอดขายได้สูงกว่ารถอีก 2 ประเภทที่เหลือ จากผลของนโยบายรถคันแรกนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงที่เหลือของปี 2554 ท่ามกลางการแข่งขันกันนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของค่ายรถออกมา ทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2554 นี้ มีโอกาสขยายตัวสูงถึงร้อยละ 12 ถึง 17 หรือคิดเป็นจำนวนยอดขายรถยนต์ 900,000 ถึง 940,000 คัน เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าที่ 880,000 ถึง 920,000 คัน และเนื่องจากผลของนโยบายดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2555 ประกอบกับจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่เตรียมจะเปิดตัวออกสู่ตลาดในปีหน้านี้ ทำให้คาดว่าตลาดรถยนต์จะยังได้รับอานิสงส์ ของนโยบายต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2555 ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2555 มีโอกาสขยายตัวร้อยละ 7-12 หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ 980,000 ถึง 1,030,000 คัน นอกเหนือจากผลของนโยบายรถคันแรก การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด และรายได้ของเกษตรกรที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์แล้ว ยังอาจต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะผลของทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และมีโอกาสที่จะชะลอตัวลงได้ ซึ่งจะกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยในปีหน้านี้ ซึ่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอาจต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกำลังการผลิตรถยนต์บางรุ่นที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าระดufabet ย งปลาอย ตรงไหนับปกติ
วันนี้ (3 ก.พ.2565) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมตอบคำถามการเมืองนักข่าวประจำ
มาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นการบริโภค หรือ Easy E-receipt วงเงิน 50,000 บาท สิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 28
วันนี้ (12 มี.ค.2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้าวันนี้หากเปิดแอปพลิเคชั่น AIR4Thai ของกรมควบคุมมลพิษ
นโยบายรถยนต์คันแรก แรงกระตุ้นตลาดขายได้คาดถึง 1 ล้านคัน ปี 2554-2555 มติครม. เสนอเงื่อนไขคืนเงินเสียรถยนต์คันแรก จะทำให้ตลาดเกิดการแข่งขันกันนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของค่ายรถออกมา นโยบายรถยนต์คันแรก แรงกระตุ้นตลาดขายได้คาดถึง 1 ล้านคัน ปี 2554-2555 จากมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายการคืนภาษีสำหรับรถยนต์คันแรกที่มีข้อสรุปออกมาในวันที่ 13 กันยายน 2554 ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางตลอดตั้งแต่ช่วงการจัดการเลือกตั้งเมื่อกลางปี 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นนโยบายที่จะมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อรถของผู้บริโภค และการวางแนวทางการทำตลาดของค่ายรถยนต์เพื่อให้สอดคล้องกับประโยชน์ที่จะได้รับจากนโยบาย โดยผลของนโยบายที่ออกมานี้ย่อมมีส่วนอย่างมากในการกำหนดทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศในช่วงที่เหลือของปี 2554 และตลอดทั้งปี 2555 ซึ่งเป็นช่วงที่นโยบายมีผลบังคับใช้ จากหลักเกณฑ์สำคัญสำหรับผู้ซื้อรถที่จะได้รับคืนเงินภาษี คือ รถที่ซื้อนั้นจะต้องมีราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาท และอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 cc. รถกระบะ (Pick up) และรถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) รวมถึงเกณฑ์ในการคืนภาษีจะคืนให้เท่ากับภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์แต่ละคันต้องจ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท ทำให้ตลาดรถยนต์ที่ได้รับประโยชน์ถูกจำกัดให้แคบลงโดยหากมองถึงศักยภาพในการซื้อรถของผู้ซื้อซึ่งต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยครอบครองรถมาก่อน ราคาจำหน่ายรถยนต์แต่ละรุ่น และจำนวนเงินคืนภาษีซึ่งเปรียบเสมือนส่วนลดของราคารถยนต์แล้ว ทั้งรถอีโคคาร์ และรถยนต์นั่ง (<1,500 cc) ดูจะเป็นประเภทของรถที่มีโอกาสทำยอดขายได้สูงกว่ารถอีก 2 ประเภทที่เหลือ จากผลของนโยบายรถคันแรกนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงที่เหลือของปี 2554 ท่ามกลางการแข่งขันกันนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของค่ายรถออกมา ทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2554 นี้ มีโอกาสขยายตัวสูงถึงร้อยละ 12 ถึง 17 หรือคิดเป็นจำนวนยอดขายรถยนต์ 900,000 ถึง 940,000 คัน เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าที่ 880,000 ถึง 920,000 คัน และเนื่องจากผลของนโยบายดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2555 ประกอบกับจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่เตรียมจะเปิดตัวออกสู่ตลาดในปีหน้านี้ ทำให้คาดว่าตลาดรถยนต์จะยังได้รับอานิสงส์ ของนโยบายต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2555 ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2555 มีโอกาสขยายตัวร้อยละ 7-12 หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ 980,000 ถึง 1,030,000 คัน นอกเหนือจากผลของนโยบายรถคันแรก การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด และรายได้ของเกษตรกรที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์แล้ว ยังอาจต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะผลของทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และมีโอกาสที่จะชะลอตัวลงได้ ซึ่งจะกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยในปีหน้านี้ ซึ่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอาจต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกำลังการผลิตรถยนต์บางรุ่นที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าระดับปกติ จากมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายการคืนภาษีสำหรับรถยนต์คันแรกที่มีข้อสรุปออกมาในวันที่ 13 กันยายน 2554 ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางตลอดตั้งแต่ช่วงการจัดการเลือกตั้งเมื่อกลางปี 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นนโยบายที่จะมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อรถของผู้บริโภค และการวางแนวทางการทำตลาดของค่ายรถยนต์เพื่อให้สอดคล้องกับประโยชน์ที่จะได้รับจากนโยบาย โดยผลของนโยบายที่ออกมานี้ย่อมมีส่วนอย่างมากในการกำหนดทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศในช่วงที่เหลือของปี 2554 และตลอดทั้งปี 2555 ซึ่งเป็นช่วงที่นโยบายมีผลบังคับใช้ จากหลักเกณฑ์สำคัญสำหรับผู้ซื้อรถที่จะได้รับคืนเงินภาษี คือ รถที่ซื้อนั้นจะต้องมีราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาท และอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 cc. รถกระบะ (Pick up) และรถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) รวมถึงเกณฑ์ในการคืนภาษีจะคืนให้เท่ากับภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์แต่ละคันต้องจ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท ทำให้ตลาดรถยนต์ที่ได้รับประโยชน์ถูกจำกัดให้แคบลงโดยหากมองถึงศักยภาพในการซื้อรถของผู้ซื้อซึ่งต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยครอบครองรถมาก่อน ราคาจำหน่ายรถยนต์แต่ละรุ่น และจำนวนเงินคืนภาษีซึ่งเปรียบเสมือนส่วนลดของราคารถยนต์แล้ว ทั้งรถอีโคคาร์ และรถยนต์นั่ง (<1,500 cc) ดูจะเป็นประเภทของรถที่มีโอกาสทำยอดขายได้สูงกว่ารถอีก 2 ประเภทที่เหลือ จากผลของนโยบายรถคันแรกนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงที่เหลือของปี 2554 ท่ามกลางการแข่งขันกันนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของค่ายรถออกมา ทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2554 นี้ มีโอกาสขยายตัวสูงถึงร้อยละ 12 ถึง 17 หรือคิดเป็นจำนวนยอดขายรถยนต์ 900,000 ถึง 940,000 คัน เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าที่ 880,000 ถึง 920,000 คัน และเนื่องจากผลของนโยบายดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2555 ประกอบกับจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่เตรียมจะเปิดตัวออกสู่ตลาดในปีหน้านี้ ทำให้คาดว่าตลาดรถยนต์จะยังได้รับอานิสงส์ ของนโยบายต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2555 ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2555 มีโอกาสขยายตัวร้อยละ 7-12 หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ 980,000 ถึง 1,030,000 คัน นอกเหนือจากผลของนโยบายรถคันแรก การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด และรายได้ของเกษตรกรที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์แล้ว ยังอาจต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะผลของทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และมีโอกาสที่จะชะลอตัวลงได้ ซึ่งจะกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยในปีหน้านี้ ซึ่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอาจต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกำลังการผลิตรถยนต์บางรุ่นที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าระดufabet ย งปลาอย ตรงไหนับปกติ
กรณีนายเชาวลิต ทองด้วง หรือ "เสี่ยแป้ง นาโหนด" ผู้ต้องโทษที่หลบหนีขณะรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครศร