Home
|
โปรแกรม ค้นหา ฟรี ส ปิ น.

กพย.เปิดงานวิจัย จี้กรมทรัพย์สินทางปัญญา คงระบบคัด

โปรแกรม ค้นหา ฟรี ส ปิ น.

วันนี้ (4 พ.ย.65) เหตุดังกล่าวขึ้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ในร้านทองภายในห้างสรรพสินค้า อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่เกิดเหตุพบตู้กระจกถูกทุบเสียหาย และ รอยกระสุนปืนไม่ทราบขนาดอีก 1 นัด สอบถามพนักงานร้าน

วันนี้ (21 ก.ย.2566) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 4/2566 โดยมีนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นาย

วันที่ 5 เม.ย.2568 ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต เขียนบทความหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ระบุว่า เมื่อ “วันปลดปล่อย” ของอเมริกา กลายเป็น “แผ่นดินไหวใหญ่” ของเศรษฐกิจโลก คำถามสำคัญคือ ไทยควรมี “ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ” อย่างไร ในโลกที่กำลังเปลี่ยนกติกาการค้าและพันธมิตรทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง รวดเร็ว ต่อเนื่อง และบางการเปลี่ยนแปลงอาจจะถาวร ผมจึงขอยืมหลัก 3 อยู่ คือ “อยู่รอด-อยู่เป็น-อยู่ยืน” ที่เคยเขียนไว้รับมือวิกฤตโควิดมาปรับใช้กับสงครามการค้าโลก มาชวนคิดเผื่อจะพอเป็นประโยชน์ให้ผู้นำ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางนโยบาย และผู้เชี่ยวชาญเอาไปคิดต่อยอดนะครับ 1.อยู่รอด-ทำด่วนที่สุดเพื่อให้อยู่รอดจากศึกใหญ่ตรงหน้าอย่างที่เคยเขียนไปก่อนนี้ว่าสิ่งแรกที่รัฐบาลควรทำทันทีคือ การตั้ง “War Room ด้านการค้าระหว่างประเทศ” ในระดับชาติ มี นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ ที่กำกับเศรษฐกิจเป็นประธาน ดู-สั่ง-ประสานงานข้ามกระทรวงได้เพราะสิ่งที่อเมริกาอาจอยากได้จากไทยอาจไม่ใช่แค่เรื่องสินค้า-ภาษีเท่านั้น แต่เกี่ยวพันกับเศรษฐกิจ การลงทุน การเงิน-ธนาคาร เทคโนโลยี ความมั่นคง และการทูตในระดับโลก - ทีมเจรจาและการทูต : คัดคนที่มีประสบการณ์เวทีใหญ่ เข้าใจดีทั้งการเมืองระหว่างประเทศและการล็อบบี้ในวอชิงตัน- ทีมเทคนิคและกฎหมาย : ผู้เชี่ยวชาญจากหลายกระทรวง ช่วยประเมินว่ากฎหมายไทยสามารถทำอะไรได้ และออกแบบมาตรการตอบโต้-เยียวยาให้ทันเหตุการณ์- ทีมที่ปรึกษาจากภาคเอกชน : ตัวแทนจากอุตสาหกรรมหลัก เข้าใจว่าใครได้ ใครเสีย จากการเปิดหรือปิดตลาด เพื่อให้การเจรจาเป็นธรรมและเป็นจริง- ทีมเศรษฐศาสตร์และยุทธศาสตร์ : นักคิด นักวิเคราะห์ ที่สามารถมองออกไปข้างหน้า วางแผนรุกในตลาดใหม่ หรือเปลี่ยนตำแหน่งประเทศไทยในห่วงโซ่คุณค่าโลก ที่สำคัญจะต้องคิดถึงนโยบายเยียวยากลุ่มที่อาจถูกกระทบจากการเจรจาด้วย เพราะการยื่นหมูยื่นแมว ย่อมอาจมีฝ่ายเสียประโยชน์ในประเทศ โดยเฉพาะSMEและกลุ่มคนเปราะบาง 2.อยู่เป็น-สิ่งที่ต้องทำเพื่อปรับตัวให้เท่าทันศึกที่ยังไม่จบแม้จะตั้ง War Room และเจรจากับสหรัฐฯแล้ว เรายังต้อง “ระวังอาฟเตอร์ช็อก” ที่ตามมาอีกหลายระลอก ทำให้ต้องอยู่กับความไม่แน่นอน- นโยบายสหรัฐอาจเปลี่ยนอีกหลายครั้ง รวมทั้งนโยบายเศรษฐกิจใหญ่อื่น ๆ ด้วย เช่น อย่าเพิ่งคิดว่าประเทศคู่แข่งโดนภาษีสูงกว่าเรา เพราะพอเขาเจรจาแล้วภาษีก็อาจเปลี่ยนอีกได้เสมอ - เตรียมการสื่อสารเตือนภัยอย่างเป็นระบบ (early warning) เป็นกระบอกเสียงเดียวจากรัฐบาลให้กับภาคเอกชนเพื่อให้รู้ว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่อีกไม่ว่าจะจากสหรัฐหรือที่อื่น - ต้องระวังผลกระทบทางอ้อม เช่น ประเทศอื่น ๆ หาทางเทสินค้าทะลักมายังตลาดอาเซียนแทนสหรัฐ อาจมีการทำทุ่มตลาด (dumping) หรือมีเงินทุนไหลบ่าแบบ ทุนเทา (grey capital) 3.อยู่ยืน-สิ่งที่ต้องทำเพื่อรุก ฉกฉวยโอกาสจากโลกที่เปลี่ยนไปถาวรเมื่อแผ่นดินไหวแล้ว โลกจะไม่เหมือนเดิม เราต้องมองหาภูมิประเทศใหม่ที่เหมาะแก่การเติบโต- ร่วมมือกับประเทศอาเซียนในการเจรจาเป็นกลุ่ม ให้เสียงดังขึ้น และต่อรองได้มากขึ้น นโยบายอเมริกาคราวนี้มาเพื่อให้ประเทศต่าง ๆ แยกกันต่างเอาตัวรอด แต่เราควรใช้โอกาสนี้พยายามรวมตัวมากขึ้นกว่าเดิม- ร่วมกับประเทศในเอเชียและประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ สนับสนุนหลักพหุภาคี (Multilateralism) และร่วมกับญี่ปุ่นร้องเรียนยังองค์การการค้าโลก โน้มน้าวประเทศต่าง ๆร้องไปยังเรียนเวทีเอเปค เวทีอาเซป (RCEP) เวทีการประชุมเอเชีย (ACD) และเวทีพหุภาคีทั้งหลาย ว่ามาตรการฝ่ายเดียวของสหรัฐ ขัดต่อบทบัญญัติและเจตนารมย์ขององค์กรเหล่านี้ เพื่อผนึกกำลังเพิ่มอำนาจกดดัน และต่อรองกับสหรัฐฯ - หาโอกาสให้ “กว้าง” ขึ้น จากประเทศนอกวงสหรัฐ-จีน หรือผมขอเรียกว่า ตลาด NUSCH (Non-US-China) เช่น อาเซียน อินเดีย ตะวันออกกลาง ยุโรป หรือแม้แต่ แอฟริกา และลาตินอเมริกา ที่ต้องการกระจายห่วงโซ่อุปทานใหม่ เพราะในอนาคต ตลาดใกล้ตัวเราอย่าง อินเดียและอินโดนีเซียอาจเป็นเศรษฐกิจท็อป 5 ของโลก เช่น จัดประชุมอาเซป (RCEP) โดยด่วน เพื่อหารือว่า 16 ประเทศที่เป็นสมาชิก ควรร่วมมือกัน เปิดตลาดการค้า การลงทุนให้กันเพื่อบรรเทาผลจาก reciprocal tariff ของสหรัฐฯอย่างไรได้บ้าง - เปลี่ยนจากการเป็น “ผู้ผลิต” ไปสู่การเป็น “ผู้สร้าง” มูลค่า (Value) โดยสนับสนุนแบรนด์ไทย การออกแบบนวัตกรรม และการวิจัยพัฒนา ลงทุนในการสร้างคน อัพสกิลรีสกิล (Up Skill Re Skill) สำหรับอนาคต- สร้าง “ทีมประเทศไทย” หาโอกาสใหม่ ตั้งองค์กรคล้าย JETRO ของญี่ปุ่น หรือ Enterprise SG ของสิงคโปร์ ทำงานเชิงรุกในประเทศเป้าหมาย โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชน และคนไทยในต่างแดน เรากำลังอยู่ในโลกที่ “ขั้วอำนาจการค้า” เปลี่ยนมือ จากยุคที่กติกาโลกค่อนข้างนิ่ง ไปสู่ยุคที่ใครมีพลังต่อรองมาก ก็ตั้งกโปรแกรม ค้นหา ฟรี ส ปิ น.ติกาเองได้ประเทศไทยจะไม่สามารถ “กัดฟันทน” ให้สงครามการค้าโลกครั้งนี้ผ่านไปได้ เพราะศึกอาจมีหลายรอบ หลากทิศ พลิกผันและยาวนาน จึงคิดว่าหลัก “3 อยู่” นี้ น่าจะเป็นหลักคิดที่พอมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ วิเคราะห์ : ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต อ่านข่าว : ชาวอเมริกันลุกฮือ! ประท้วง "ทรัมป์-มัสก์" กำแพงภาษีระลอกใหม่ คนไทยในสหรัฐฯ เร่งรัฐบาลเจรจา หวั่นกระทบ "ทรัมป์" ขึ้นภาษี "แพทองธาร" แถลงการณ์ท่าทีไทยต่อนโยบายสหรัฐฯ ขึ้นภาษี 36%

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ จันทร

วันนี้ (30 มี.ค.2565) เวลา 17.29 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด

วันนี้ (7 พ.ค.2567) ศาลอาญามีนบุรี อ่านคำพิพากษาคดี อ.1183/2567 ที่อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญามีนบุรี 1 ย

วันที่ 5 เม.ย.2568 ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต เขียนบทความหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ระบุว่า เมื่อ “วันปลดปล่อย” ของอเมริกา กลายเป็น “แผ่นดินไหวใหญ่” ของเศรษฐกิจโลก คำถามสำคัญคือ ไทยควรมี “ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ” อย่างไร ในโลกที่กำลังเปลี่ยนกติกาการค้าและพันธมิตรทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง รวดเร็ว ต่อเนื่อง และบางการเปลี่ยนแปลงอาจจะถาวร ผมจึงขอยืมหลัก 3 อยู่ คือ “อยู่รอด-อยู่เป็น-อยู่ยืน” ที่เคยเขียนไว้รับมือวิกฤตโควิดมาปรับใช้กับสงครามการค้าโลก มาชวนคิดเผื่อจะพอเป็นประโยชน์ให้ผู้นำ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางนโยบาย และผู้เชี่ยวชาญเอาไปคิดต่อยอดนะครับ 1.อยู่รอด-ทำด่วนที่สุดเพื่อให้อยู่รอดจากศึกใหญ่ตรงหน้าอย่างที่เคยเขียนไปก่อนนี้ว่าสิ่งแรกที่รัฐบาลควรทำทันทีคือ การตั้ง “War Room ด้านการค้าระหว่างประเทศ” ในระดับชาติ มี นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ ที่กำกับเศรษฐกิจเป็นประธาน ดู-สั่ง-ประสานงานข้ามกระทรวงได้เพราะสิ่งที่อเมริกาอาจอยากได้จากไทยอาจไม่ใช่แค่เรื่องสินค้า-ภาษีเท่านั้น แต่เกี่ยวพันกับเศรษฐกิจ การลงทุน การเงิน-ธนาคาร เทคโนโลยี ความมั่นคง และการทูตในระดับโลก - ทีมเจรจาและการทูต : คัดคนที่มีประสบการณ์เวทีใหญ่ เข้าใจดีทั้งการเมืองระหว่างประเทศและการล็อบบี้ในวอชิงตัน- ทีมเทคนิคและกฎหมาย : ผู้เชี่ยวชาญจากหลายกระทรวง ช่วยประเมินว่ากฎหมายไทยสามารถทำอะไรได้ และออกแบบมาตรการตอบโต้-เยียวยาให้ทันเหตุการณ์- ทีมที่ปรึกษาจากภาคเอกชน : ตัวแทนจากอุตสาหกรรมหลัก เข้าใจว่าใครได้ ใครเสีย จากการเปิดหรือปิดตลาด เพื่อให้การเจรจาเป็นธรรมและเป็นจริง- ทีมเศรษฐศาสตร์และยุทธศาสตร์ : นักคิด นักวิเคราะห์ ที่สามารถมองออกไปข้างหน้า วางแผนรุกในตลาดใหม่ หรือเปลี่ยนตำแหน่งประเทศไทยในห่วงโซ่คุณค่าโลก ที่สำคัญจะต้องคิดถึงนโยบายเยียวยากลุ่มที่อาจถูกกระทบจากการเจรจาด้วย เพราะการยื่นหมูยื่นแมว ย่อมอาจมีฝ่ายเสียประโยชน์ในประเทศ โดยเฉพาะSMEและกลุ่มคนเปราะบาง 2.อยู่เป็น-สิ่งที่ต้องทำเพื่อปรับตัวให้เท่าทันศึกที่ยังไม่จบแม้จะตั้ง War Room และเจรจากับสหรัฐฯแล้ว เรายังต้อง “ระวังอาฟเตอร์ช็อก” ที่ตามมาอีกหลายระลอก ทำให้ต้องอยู่กับความไม่แน่นอน- นโยบายสหรัฐอาจเปลี่ยนอีกหลายครั้ง รวมทั้งนโยบายเศรษฐกิจใหญ่อื่น ๆ ด้วย เช่น อย่าเพิ่งคิดว่าประเทศคู่แข่งโดนภาษีสูงกว่าเรา เพราะพอเขาเจรจาแล้วภาษีก็อาจเปลี่ยนอีกได้เสมอ - เตรียมการสื่อสารเตือนภัยอย่างเป็นระบบ (early warning) เป็นกระบอกเสียงเดียวจากรัฐบาลให้กับภาคเอกชนเพื่อให้รู้ว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่อีกไม่ว่าจะจากสหรัฐหรือที่อื่น - ต้องระวังผลกระทบทางอ้อม เช่น ประเทศอื่น ๆ หาทางเทสินค้าทะลักมายังตลาดอาเซียนแทนสหรัฐ อาจมีการทำทุ่มตลาด (dumping) หรือมีเงินทุนไหลบ่าแบบ ทุนเทา (grey capital) 3.อยู่ยืน-สิ่งที่ต้องทำเพื่อรุก ฉกฉวยโอกาสจากโลกที่เปลี่ยนไปถาวรเมื่อแผ่นดินไหวแล้ว โลกจะไม่เหมือนเดิม เราต้องมองหาภูมิประเทศใหม่ที่เหมาะแก่การเติบโต- ร่วมมือกับประเทศอาเซียนในการเจรจาเป็นกลุ่ม ให้เสียงดังขึ้น และต่อรองได้มากขึ้น นโยบายอเมริกาคราวนี้มาเพื่อให้ประเทศต่าง ๆ แยกกันต่างเอาตัวรอด แต่เราควรใช้โอกาสนี้พยายามรวมตัวมากขึ้นกว่าเดิม- ร่วมกับประเทศในเอเชียและประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ สนับสนุนหลักพหุภาคี (Multilateralism) และร่วมกับญี่ปุ่นร้องเรียนยังองค์การการค้าโลก โน้มน้าวประเทศต่าง ๆร้องไปยังเรียนเวทีเอเปค เวทีอาเซป (RCEP) เวทีการประชุมเอเชีย (ACD) และเวทีพหุภาคีทั้งหลาย ว่ามาตรการฝ่ายเดียวของสหรัฐ ขัดต่อบทบัญญัติและเจตนารมย์ขององค์กรเหล่านี้ เพื่อผนึกกำลังเพิ่มอำนาจกดดัน และต่อรองกับสหรัฐฯ - หาโอกาสให้ “กว้าง” ขึ้น จากประเทศนอกวงสหรัฐ-จีน หรือผมขอเรียกว่า ตลาด NUSCH (Non-US-China) เช่น อาเซียน อินเดีย ตะวันออกกลาง ยุโรป หรือแม้แต่ แอฟริกา และลาตินอเมริกา ที่ต้องการกระจายห่วงโซ่อุปทานใหม่ เพราะในอนาคต ตลาดใกล้ตัวเราอย่าง อินเดียและอินโดนีเซียอาจเป็นเศรษฐกิจท็อป 5 ของโลก เช่น จัดประชุมอาเซป (RCEP) โดยด่วน เพื่อหารือว่า 16 ประเทศที่เป็นสมาชิก ควรร่วมมือกัน เปิดตลาดการค้า การลงทุนให้กันเพื่อบรรเทาผลจาก reciprocal tariff ของสหรัฐฯอย่างไรได้บ้าง - เปลี่ยนจากการเป็น “ผู้ผลิต” ไปสู่การเป็น “ผู้สร้าง” มูลค่า (Value) โดยสนับสนุนแบรนด์ไทย การออกแบบนวัตกรรม และการวิจัยพัฒนา ลงทุนในการสร้างคน อัพสกิลรีสกิล (Up Skill Re Skill) สำหรับอนาคต- สร้าง “ทีมประเทศไทย” หาโอกาสใหม่ ตั้งองค์กรคล้าย JETRO ของญี่ปุ่น หรือ Enterprise SG ของสิงคโปร์ ทำงานเชิงรุกในประเทศเป้าหมาย โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชน และคนไทยในต่างแดน เรากำลังอยู่ในโลกที่ “ขั้วอำนาจการค้า” เปลี่ยนมือ จากยุคที่กติกาโลกค่อนข้างนิ่ง ไปสู่ยุคที่ใครมีพลังต่อรองมาก ก็ตั้งกโปรแกรม ค้นหา ฟรี ส ปิ น.ติกาเองได้ประเทศไทยจะไม่สามารถ “กัดฟันทน” ให้สงครามการค้าโลกครั้งนี้ผ่านไปได้ เพราะศึกอาจมีหลายรอบ หลากทิศ พลิกผันและยาวนาน จึงคิดว่าหลัก “3 อยู่” นี้ น่าจะเป็นหลักคิดที่พอมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ วิเคราะห์ : ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต อ่านข่าว : ชาวอเมริกันลุกฮือ! ประท้วง "ทรัมป์-มัสก์" กำแพงภาษีระลอกใหม่ คนไทยในสหรัฐฯ เร่งรัฐบาลเจรจา หวั่นกระทบ "ทรัมป์" ขึ้นภาษี "แพทองธาร" แถลงการณ์ท่าทีไทยต่อนโยบายสหรัฐฯ ขึ้นภาษี 36%

วันที่ 5 เม.ย.2568 ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต เขียนบทความหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษี