วันนี้ (10 ก.พ.2568) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐม

ระดับน้ำคลองระพีพัฒน์ลดต่อเนื่องส่งผลถนนทรุด นักธรณีวิทยา เสนอแนวคิดในการก่อสร้างถนนถาวร เพื่อแก้ปัญหาถนนในภาคกลางหลายจังหวัดทรุดตัว ซึ่งในขณะนี้ ถนนเลียบคลองระพีพัฒน์จังหวัดปทุมธานี เสียหายมากกว่า 88
เมื่อวันที่ 9 มี.ค.2566 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 2/2566 โดยเปิดเผยหลักการประชุม ว่า มีการหารือเกี่ยวกับการดูแลค่าไฟฟ้า
ระดับน้ำคลองระพีพัฒน์ลดต่อเนื่องส่งผลถนนทรุด นักธรณีวิทยา เสนอแนวคิดในการก่อสร้างถนนถาวร เพื่อแก้ปัญหาถนนในภาคกลางหลายจังหวัดทรุดตัว ซึ่งในขณะนี้ ถนนเลียบคลองระพีพัฒน์จังหวัดปทุมธานี เสียหายมากกว่า 88 จุด และแตกร้าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากน้ำแห้งคลอง และฝนทิ้งช่วง ระดับน้ำคลองระพีพัฒน์ลดต่อเนื่องส่งผลถนนทรุด ถนน 2 ฝั่ง เลียบคลองระพีพัฒน์ตลอดสายใน จ.ปทุมธานี แตกร้าวและทรุดตัวหลายจุด เนื่องจากระดับน้ำในคลองลดลงต่อเนื่อง อยู่ในระดับ 1 -2 เมตร จากความสูงของคลองที่เคยรับน้ำได้ 8 - 10 เมตร อย่างบริเวณถนนเลียบคลองระพีพัฒน์คลอง 13 ฝั่งตะวันตกใน ต.นพรัตน์ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี เป็นอีกจุดที่มีการทรุดตัว เป็นทางยาวกว่า 100 เมตร ลึกประมาณ 1.50 เมตร ทำให้รถไม่สามารถใช้ทางสัญจรได้ทั้ง 2 ช่องจราจร และประชาชนในพื้นที่ ต่างบอกว่า กังวลว่าความเสียหายจะทวีความรุนแรง ตั้งแต่ถนนเลียบคลองระพีพัฒน์ คลอง 1 - 14 มีการสำรวจการทรุดตัวของถนนจากฝ่ายปกครองว่า มีมากกว่า 88 จุด ซึ่งกรมทางหลวงชนบท เร่งซ่อมพื้นผิวถนนทั้งใน จ.ปทุมธานี และจ.สระบุรี เพื่อความปลอดภัยในการใช้ทางชั่วคราวแล้ว โดยใช้วิธีการรื้อพื้นผิวถนนและอัดเสริมดินใหม่ คาดว่าแต่ละจุดจะใช้เวลาประมาณ1สัปดาห์ในการซ่อมแซม ศาสตราจารย์ธนวัตน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสถานการณ์ปกติ ของการขาดน้ำหล่อเลี้ยงดินตะกอนทะเลเก่า (Bangkok marine clay) ซึ่งมีลักษณะเป็นดินเหนียว การสูบน้ำของเกษตรกร รวมถึงแรงสั่นสะเทือนจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นอีก 1 ปัจจัย ที่ทำให้พื้นที่บริเวณริมคลองหรือริมแม่น้ำพื้นที่ภาคกลาง เป็นจุดเสี่ยงสำคัญในการทรุดตัวของดิน ถนน 2 ฝั่ง เลียบคลองระพีพัฒน์ตลอดสายใน จ.ปทุมธานี แตกร้าวและทรุดตัวหลายจุด เนื่องจากระดับน้ำในคลองลดลงต่อเนื่อง อยู่ในระดับ 1 -2 เมตร จากความสูงของคลองที่เคยรับน้ำได้ 8 - 10 เมตร อย่างบริเวณถนนเลียบคลองระพีพัฒน์คลอง 13 ฝั่งตะวันตกใน ต.นพรัตน์ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี เป็นอีกจุดที่มีการทรุดตัว เป็นทางยาวกว่า 100 เมตร ลึกประมาณ 1.50 เมตร ทำให้รถไม่สามารถใช้ทางสัญจรได้ทั้ง 2 ช่องจราจร และประชาชนในพื้นที่ ต่างบอกว่า กังวลว่าความเสียหายจะทวีความรุนแรง ตั้งแต่ถนนเลียบคลองระพีพัฒน์ คลอง 1 - 14 มีการสำรวจการทรุดตัวของถนนจากฝ่ายปกครองว่า มีมากกว่า 88 จุด ซึ่งกรมทางหลวงชนบท เร่งซ่อมพื้นผิวถนนทั้งใน จ.ปทุมธานี และจ.สระบุรี เพื่อความปลอดภัยในการใช้ทางชั่วคราวแล้ว โดยใช้วิธีการรื้อพื้นผิวถนนและอัดเสริมดินใหม่ คาดว่าแต่ละจุดจะใช้เวลาประมาณ1สัปดาห์ในการซ่อมแซม ศาสตราจารย์ธนวัตน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุตรวจ สลาก 1 ส ค 63ฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสถานการณ์ปกติ ของการขาดน้ำหล่อเลี้ยงดินตะกอนทะเลเก่า (Bangkok marine clay) ซึ่งมีลักษณะเป็นดินเหนียว การสูบน้ำของเกษตรกร รวมถึงแรงสั่นสะเทือนจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นอีก 1 ปัจจัย ที่ทำให้พื้นที่บริเวณริมคลองหรือริมแม่น้ำพื้นที่ภาคกลาง เป็นจุดเสี่ยงสำคัญในการทรุดตัวของดิน
วันนี้ (17 ส.ค.2564) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก พร้อมด้วย พล.ต.ธำรงค์โรจน์ เต็มอุดม ผอ.สถา
วันนี้ (21 ม.ค.2568) นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ท
วันนี้ (11ก.พ.2564) เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ
ระดับน้ำคลองระพีพัฒน์ลดต่อเนื่องส่งผลถนนทรุด นักธรณีวิทยา เสนอแนวคิดในการก่อสร้างถนนถาวร เพื่อแก้ปัญหาถนนในภาคกลางหลายจังหวัดทรุดตัว ซึ่งในขณะนี้ ถนนเลียบคลองระพีพัฒน์จังหวัดปทุมธานี เสียหายมากกว่า 88 จุด และแตกร้าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากน้ำแห้งคลอง และฝนทิ้งช่วง ระดับน้ำคลองระพีพัฒน์ลดต่อเนื่องส่งผลถนนทรุด ถนน 2 ฝั่ง เลียบคลองระพีพัฒน์ตลอดสายใน จ.ปทุมธานี แตกร้าวและทรุดตัวหลายจุด เนื่องจากระดับน้ำในคลองลดลงต่อเนื่อง อยู่ในระดับ 1 -2 เมตร จากความสูงของคลองที่เคยรับน้ำได้ 8 - 10 เมตร อย่างบริเวณถนนเลียบคลองระพีพัฒน์คลอง 13 ฝั่งตะวันตกใน ต.นพรัตน์ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี เป็นอีกจุดที่มีการทรุดตัว เป็นทางยาวกว่า 100 เมตร ลึกประมาณ 1.50 เมตร ทำให้รถไม่สามารถใช้ทางสัญจรได้ทั้ง 2 ช่องจราจร และประชาชนในพื้นที่ ต่างบอกว่า กังวลว่าความเสียหายจะทวีความรุนแรง ตั้งแต่ถนนเลียบคลองระพีพัฒน์ คลอง 1 - 14 มีการสำรวจการทรุดตัวของถนนจากฝ่ายปกครองว่า มีมากกว่า 88 จุด ซึ่งกรมทางหลวงชนบท เร่งซ่อมพื้นผิวถนนทั้งใน จ.ปทุมธานี และจ.สระบุรี เพื่อความปลอดภัยในการใช้ทางชั่วคราวแล้ว โดยใช้วิธีการรื้อพื้นผิวถนนและอัดเสริมดินใหม่ คาดว่าแต่ละจุดจะใช้เวลาประมาณ1สัปดาห์ในการซ่อมแซม ศาสตราจารย์ธนวัตน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสถานการณ์ปกติ ของการขาดน้ำหล่อเลี้ยงดินตะกอนทะเลเก่า (Bangkok marine clay) ซึ่งมีลักษณะเป็นดินเหนียว การสูบน้ำของเกษตรกร รวมถึงแรงสั่นสะเทือนจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นอีก 1 ปัจจัย ที่ทำให้พื้นที่บริเวณริมคลองหรือริมแม่น้ำพื้นที่ภาคกลาง เป็นจุดเสี่ยงสำคัญในการทรุดตัวของดิน ถนน 2 ฝั่ง เลียบคลองระพีพัฒน์ตลอดสายใน จ.ปทุมธานี แตกร้าวและทรุดตัวหลายจุด เนื่องจากระดับน้ำในคลองลดลงต่อเนื่อง อยู่ในระดับ 1 -2 เมตร จากความสูงของคลองที่เคยรับน้ำได้ 8 - 10 เมตร อย่างบริเวณถนนเลียบคลองระพีพัฒน์คลอง 13 ฝั่งตะวันตกใน ต.นพรัตน์ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี เป็นอีกจุดที่มีการทรุดตัว เป็นทางยาวกว่า 100 เมตร ลึกประมาณ 1.50 เมตร ทำให้รถไม่สามารถใช้ทางสัญจรได้ทั้ง 2 ช่องจราจร และประชาชนในพื้นที่ ต่างบอกว่า กังวลว่าความเสียหายจะทวีความรุนแรง ตั้งแต่ถนนเลียบคลองระพีพัฒน์ คลอง 1 - 14 มีการสำรวจการทรุดตัวของถนนจากฝ่ายปกครองว่า มีมากกว่า 88 จุด ซึ่งกรมทางหลวงชนบท เร่งซ่อมพื้นผิวถนนทั้งใน จ.ปทุมธานี และจ.สระบุรี เพื่อความปลอดภัยในการใช้ทางชั่วคราวแล้ว โดยใช้วิธีการรื้อพื้นผิวถนนและอัดเสริมดินใหม่ คาดว่าแต่ละจุดจะใช้เวลาประมาณ1สัปดาห์ในการซ่อมแซม ศาสตราจารย์ธนวัตน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุตรวจ สลาก 1 ส ค 63ฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสถานการณ์ปกติ ของการขาดน้ำหล่อเลี้ยงดินตะกอนทะเลเก่า (Bangkok marine clay) ซึ่งมีลักษณะเป็นดินเหนียว การสูบน้ำของเกษตรกร รวมถึงแรงสั่นสะเทือนจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นอีก 1 ปัจจัย ที่ทำให้พื้นที่บริเวณริมคลองหรือริมแม่น้ำพื้นที่ภาคกลาง เป็นจุดเสี่ยงสำคัญในการทรุดตัวของดิน
เมื่อวันที่ 9 มี.ค.2567 นายณัฐวุฒิ ทิพย์มงคล กำนันตำบลสะพลี นายอนุพนธ์ ล ตระกูล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8