วันนี้ (22 มิ.ย.2566) นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ว่า

กรณีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นำเสนอรูปแบบการออมสำหรับผู้สูงอายุหลายรูปแบบ โดยรูปแบบหนึ่งที่มีการเสนอผ่านคณะกรรมการปฏิรูปสังคม และ สศช. เห็นว่า เป็นแนวทางที่ดี คือ การปรับเพิ่

วันนี้ (22 มิ.ย.2566) นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ว่า พบมากเป็นอันดับต้นๆ ของหลายประเทศทั่วโลก สำหรับประเทศไทยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็น 1 ใน 5 ของมะเร็งที่พบมากในคนไทย มีอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นทุกปี ปัจจุบันพบมากเป็นอันดับ 3 ในเพศชาย และอันดับ 2 ในเพศหญิง ขณะที่ พญ.นภา ศิริวิวัฒนากุล ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภค เช่น อาหารไขมันสูง อาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ กินอาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม อาหารจากน้ำมันทอดซ้ำ และเนื้อสัตว์แปรรูป ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรค อีกทั้งยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย มีภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน ตลอดจนมีประวัติครอบครัวหรือตนเองเป็นติ่งเนื้อในลำไส้ เป็นต้น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เริ่มจากการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ (polyp) และพัฒนาจนเป็นมะเร็ง ใช้เวลาประมาณ 10-15 ปี มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงมักจะไม่มีอาการในระยะเริ่มแรกของโรค จะมีอาการก็ต่อเมื่อโรคลุกลามมากขึ้นจนถึงระยะสุดท้าย ส่งผลทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร อาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่ การถ่ายอุจจาระผิดปกติ มีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง ถ่ายไม่สุด ถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือด หรืออาจถ่ายเป็นเลือดสด ขนาดลำอุจจาระเล็กลง และมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด จุกเสียด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง สามารถตรวจคัดกรองเพื่อค้นหามะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ ส่งผลให้การรักษาได้ผลดีและมีโอกาสหายจากโรคสูง ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปควรตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง โดยการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระปีละครั้ง หากผpgwin789ิดปกติควรส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ กรณีพบติ่งเนื้อหรือความผิดปกติในลำไส้ใหญ่ แพทย์จะตัดชิ้นเนื้อบริเวณดังกล่าวเพื่อวินิจฉัย อ่านข่าวอื่นๆ มะเร็งคร่าชีวิต "ณรงค์ศักดิ์" ผู้ว่าฯ หมูป่า 26 มิถุนายน วันต่อต้านยาเสพติดโลก

"โรคเหงือก" หรือที่เรียกว่า โรคปริทันต์อักเสบ (Periodontal disease) ส่งผลกระทบต่อโรคอื่น ๆ อีกหลายโรค รวมถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ (CVD) มะเร็งในช่องปากและลำไส้ใหญ่ การติดเชื้อในปอด เบาหวาน และโรคอัลไซเมอร