joker123 ฟรี เครดิต 2000 -Bayern Munchen Juara

ค่า สิ โน ออนไลน์ ยิงปลา

วันนี้ (1 ธ.ค.2567) ทหารเรือต้องฝ่ากระแสน้ำอันเชี่ยวกราก ด้วยเรือยางเข้าไปยังจุดปะทะน้ำบริเวณบ้านเเซะโมะ ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งมีประชาชนบางส่วนอาศัยในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงนำอาหารและน้ำดื่มไปแ

วันนี้ (16 พ.ค.2567) นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ พร้อมครอบครัวเยาวชนอายุ 14 ปี คู่กรณี พล.ต.นพ.เหรียญ

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) วิเคราะห์นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า ทันทีที่ได้เริ่มงานวาระแรกที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาพลังงาน ทั้งราคาน้ำมัน และค่าไฟฟ้า ว่า เป็นไปได้แต่ห่วงจะเป็นแค่ช่วงโปรโมชันสั้น ๆ แค่ 3 เดือน แล้วกลับไปเหมือนเดิมหรือไม่ หากมองจากภาพรวมของการใช้พลังงานทั่วประเทศพบว่า แหล่งเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าของไทยหลัก ๆ กลุ่มแรก จากแหล่งก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้า ซึ่งแหล่งผลิตมาจากอ่าวไทย และเมียนมา และก๊าซ LNG จะนำเข้าจากต่างประเทศ กลุ่ม 2 คือ พลังงานหรือเชื้อเพลิงรูปแบบอื่น โดยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นำกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ไปขายส่งให้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และภาคเอกชน น.ส.รสนา กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน ปตท.ดึงเอาก๊าซในอ่าวไทย มาให้บริษัทลูกของตัวเอง ที่เป็นบริษัทปิโตรเคมี ในราคาภายในประเทศ ไม่ใช่ราคาพูลก๊าซ (เป็นราคาเฉลี่ยก๊าซจากอ่าวไทย + ก๊าซจากเมียนมา + ก๊าซ LNG ) ที่ใช้คำนวณในการคิดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) เมื่อปิโตรเคมีใช้ก๊าซในjoker123 ฟรี เครดิต 2000อ่าวไทยมากขึ้น ทำให้สัดส่วนที่ไปอยู่ในพูลก๊าซของก๊าซในอ่าวไทยน้อยลง จึงต้องไปนำเข้า LNG นอกจากนี้ น.ส.รสนา ยังเสนอว่า ในช่วง 4 ปีของรัฐบาลเพื่อไทยจะต้องไม่ทำสัญญาให้เอกชนมาสร้างโรงไฟฟ้าขายไฟให้ กฟภ.เพิ่ม เพราะปัจจุบัน ไทยมีกำลังไฟฟ้าสำรองเกินกว่าความต้องการมาก เช่น ผลิตได้อยู่ที่ 50,000 เมกะวัตต์ แต่ใช้อยู่ที่ 30,000 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงไฟฟ้าเอกชนที่รัฐบาลทำสัญญานั้นไม่ว่าจะได้ผลิตหรือไม่ แต่รัฐบาลก็ต้องจ่าย "ค่าความพร้อมจ่าย" แต่ละปีที่ผ่านมาต้องเสียค่าความพร้อม อยู่ที่ 84,000 ล้านบาท และกลายมาเป็นค่า FT ในแต่ละงวด ที่ประชาชนต้องแบกรับ ดังนั้นรัฐบาลสามารถเจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายลงได้หรือไม่ ส่วนที่จะเข้ามาทำสัญญาใหม่ให้ตัดทิ้งไป เนื่องจากจะต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งนั้น น.ส.รสนา ตั้งข้อสังเกตว่า พรรคการเมืองหรือรัฐบาลมีกลุ่มทุนพลังงานที่เป็นสปอนเซอร์ทำให้รัฐบาลที่ผ่านมาไม่สามารถทำได้ เพราะต้องมีรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มทุน ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟ ค่าพลังงานแพง เข้าใจว่าการทำธุรกิจเอกชนต้องได้กำไร แต่ทำสัญญาซื้อไฟฟ้าไปเรื่อยควรต้องหยุด เพราะนำเข้ามาแล้วจะเป็นภาระและกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ขณะนี้สัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีสูงมาก หากดูต้นทุนการผลิตสินค้าในภาคการผลิต 100 บาท โลจิสติกส์ต่อจีดีพีของประเทศไทยคือ 20% หากเทียบเพื่อนบ้านสิงค์โปร์ 8% มาเลเซีย 13% หมายถึงใน 100 บาท มีต้นทุนค่าขนส่งค่าพลังงาน 20 บาท ในขณะที่มาเลเซียมีต้นทุน 13 บาท ฉะนั้นเศรษฐกิจภาคการผลิตมันยากเพราะต้นทุนสูง นอกจากนี้ รัฐบาลต้องมองว่าเรื่องของพลังงานเป็นต้นทุนสำคัญของภาคการผลิตและค่าครองชีพของประชาชน ฉะนั้นจะดูแลสปอร์เซอร์ก็ต้องดูแลกันแค่พอประมาณ ไม่ได้ปล่อยให้รวยกันอู่ฟู่ ในขณะที่ประชาชนต้องมาใช้จ่ายค่าไฟ ค่าน้ำมัน แพงขนาดนี้ น.ส.รสนา ระบุว่า มีข้อมูลจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่ระบุว่าภายในไม่เกิน 10 ปี หรือประมาณปี พ.ศ. 2573 จะมีการซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ต้นทุนค่าไฟจะเหลือหน่วยละ 1 บาท ฉะนั้นโรงไฟฟ้าที่ไปทำสัญญาแล้วอยู่ในระบบ ต้องเข้าสู่ระบบอีก 3 ปี 5 ปี ต่อไปจะกลายเป็นขยะ เพราะทำสัญญาระยะยาวครั้งละ 25 ปี ดังนั้นจึงขอเสนอแนวทางแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพง คือ สนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์ เปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยการติดตั้ง "โซล่า ลูป" ไว้ใช้ที่บ้าน เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน เพราะที่ผ่านมาภาครัฐอ้างว่าจะสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน แต่ให้สิทธิเอกชนผูกขาด ไม่ยอมให้ประชาชนทำ เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา สภาองค์กรของผู้บริโภค และตัวแทนองค์กรภาคประชาชน ได้ไปยื่นร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบกระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลัง ที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ละเลยไม่ควบคุม "ค่าการตลาดน้ำมัน" กลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันกลุ่มดังกล่าวเฉลี่ยสูงกว่า 2 บาทต่อลิตร น.ส.รสนา ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขในช่วง 7 เดือน คือ ม.ค.-ก.ค. 2566 พบว่า ค่าการตลาดเกินไป เป็น 3 บาท ซึ่งปัจจุบันน้ำมันกลุ่มเบนซินแก๊สโซฮอล์ ทุกชนิดมียอดขายรวมกันประมาณ 30 ล้านลิตรต่อวัน หรือ ผู้ใช้น้ำมันกลุ่มนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินสมควรรวมกันไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาทต่อวัน หรือ 900 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเท่ากับว่าผู้ใช้น้ำมันในกลุ่มนี้เสียประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 6,300 ล้านบาท ส่วนดีเซลค่าการตลาด อยู่ที่ 1.65 - 1.70 สตางค์ต่อลิตร แต่บางครั้งกลับปล่อยให้ค่าการตลาดสูง ล่าสุดวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา ค่าการตลาด อยู่ที่ 2.35 สตางค์ต่อลิตร เกินมา 70 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งในแต่ละวันดีเซลมียอดขายรวมกัน 70 ล้านลิตรต่อวัน เท่ากับได้เงินเกินไป 49 ล้านบาท ขณะที่น้ำมันดีเซล รัฐบาลระบุว่า หากจะลดต้องดูโครงสร้างราคาน้ำมันจะมีส่วนของเนื้อน้ำมันกับส่วนของค่าการตลาดที่เอกชนจะได้ แต่ส่วนที่รัฐจะได้ คือ ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ภาษีเวก และกองทุนน้ำมันอีก 2 กองทุน กองทุนน้ำมันถูกทำให้เป็นตัวหลบซ้อน "ราคาที่เป็นจริง" ภาษีสรรพสามิตในกลุ่มดีเซล เก็บอยู่ที่ 5.99 สตางค์ แล้วไปล้วงเงินกองทุนน้ำมันมาชดเชย 6.43 สตางค์ แต่กลายเป็นว่า กองทุนน้ำมัน คือหนี้ของประชาชน รัฐเก็บเงินสูงมาก ภาษี 6 บาท แล้วไปล้วงเงินกองทุนน้ำมันมาชดเชย ส่วนใหญ่ไปชดเชยภาษีที่รัฐได้ไป แต่เพื่อที่จะคุมราคาให้อยู่ที่ 31.94 บาท น.ส.รสนา กล่าวว่า หากรัฐบาลจะลดราคาฯควรจะจัดการที่ตัว "ภาษีสรรพสามิต" ซี่งที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐไม่ลดราคาให้ประชาชนเก็บเป็นภาษี และมีการจัดเก็บภาษีได้กว่า 200,000 ล้านบาท โดยในช่วงปี 2563 เก็บได้ 230,000 ล้านบาท ซึ่งในฐานะที่นายเศรษฐาควบตำแหน่ง รมว.คลัง อยากเสนอให้กำหนด การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยเก็บในแต่ละปีไม่เกิน 100,000 ล้านบาท ไม่ใช่เพียงเป็นการลดชั่วคราว แล้วกลับไปเก็บใหม่เหมือนเดิม ปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 31.94 บาท ลดภาษีเลย 5 บาท เก็บภาษีแค่ 99 สตางค์ - 1 บาท ราคาน้ำมันดีเซลจะเหลือ 26.94 สตางค์ ขึ้นอยู่ที่ว่าจะขายน้ำมันดีเซลให้ประชาชนในราคาเท่าไร ดังนั้นจึงต้องกันไม่ให้กองทุนน้ำมันเข้ามารีดเงินตรงนี้ไป เพราะพอลดราคาลงมาแล้ว จะเกิดช่องว่าง กลายเป็นว่ากองทุนน้ำมันก็จะเก็บเงินจากคนใช้น้ำมันอ้างว่าต้องไปใช้หนี้ ไม่ได้ไปลดราคาให้ประชาชน มองว่ากองทุนน้ำมันก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข น.ส.รสนา กล่าวว่า โครงสร้างราคาน้ำมันของไทย มีทั้งต้นทุนเนื้อน้ำมัน บวกกับภาษี เงินเข้ากองทุนน้ำมัน และค่าการตลาด ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมัน แพงกว่าหลายประเทศ ส่วนที่ผู้ประกอบการได้คือ เนื้อน้ำมันและค่าการตลาด ซึ่งควรจะถูกคุม เช่นค่าการตลาดของกลุ่มเบนซิน 2 บาท ต้องคุมให้ได้ กลุ่มดีเซลอยู่ที่ 1.70 ให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภค รัฐบาลต้องยอมรับว่าน้ำมันไม่ใช้สินค่าฟุ่มเฟื่อย แต่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน ที่ไม่ควรจะเอากำไรสูงสุด ตามกลไกตลาดเสรี ในฐานะที่นายกฯเป็นประธาน กพช. ตัดสินใจได้เลย แต่ปัญหาจะกล้าหรือไม่ เพราะสามารถลดราคาได้ถึง 1 บาท- 1.5 สตางค์ต่อลิตร "ประเทศเราโรงกลั่นน้ำมันกลั่นได้เหลือใช้ ส่งออก น้ำมันที่ส่งออกเป็นสินค้าติด 1 ใน 5 ทำไม่ถึงไม่ขายน้ำมันให้คนไทยเทียบเท่าราคาส่งออก จะได้ไม่ต้องนำเข้า ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ว่ารัฐบาลจจะกล้าทำหรือไม่ หากกล้าทำ เนื้อน้ำมัน ค่าการตลาด ก็จะทำให้ผู้ประกอบการไม่เอากำไรจนเกินควร" อดีต สว.รสนา ทิ้งท้าย อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง ปรับ “รังนกกระจอก” เศรษฐายังไม่ทันสอย ก็ถอยเสียแล้ว รมว.พลังงานชงลดราคาน้ำมัน-ไฟฟ้า จ่อเปิดนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรี "อนุทิน" ไม่ชินถูกเรียก มท.1 พร้อมแถลงนโยบายรัฐบาล ครม.ชุดใหม่ เตรียมเข้าถวายสัตย์ฯ ก่อนปฏิบัติหน้าที่

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) วิเคราะห์นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า ทันทีที่ได้เริ่มงานวาระแรกที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาพลังงาน ทั