หลังกรณีโซเชียลชื่นชม "ฟ้า" หนุ่มอินโดนีเซีย วัย 1

เลขาฯคกก.โอลิมปิกโล่งใจเอกสารซีเกมส์ของสมาคมยิงปืนไม่สูญหาย เลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยโล่งใจที่เอกสารเกี่ยวกับซีเกมส์ของสมาคมยิงปืนไม่สูญหายจากเหตุการณ์บุกรุกเมื่อวันเสาร์ที่ 24 กันยายนท
วันที่ 12 ม.ค.2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับให้มีนโยบายเยียวยารายได้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ COVID-19 โดยคำนึงถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ
หลายประเทศในเอเชีย การพูดคุยเรื่องเพศยังคงเป็นเรื่องต้องห้ามและถูกมองว่า "น่าอาย" หรือ "ไม่เหมาะสม" โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเด็ก หลายครอบครัวหลีกเลี่ยงที่จะสอนหรือให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิในร่างกาย ความยินยอม (Consent) และการป้องกันตนเอง ส่งผลให้เด็กขาดภูมิคุ้มกันต่อสถานการณ์อันตราย กรณีการล่วงละเมิดทางเพศเด็กที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในข่าว ไม่ว่าจะเป็นจากคนในครอบครัว ครู หรือผู้ใหญ่ที่เด็กไว้วางใจ สะท้อนความล้มเหลวของระบบการศึกษาและวัฒนธรรมที่หลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น ข่าว ตร.บุกรวบครูก่อเหตุล่วงละเมิดนักเรียนชาย 9 คน กว่าที่ผู้ปกครองจะทราบเรื่อง เด็กต้องทนทุกข์และกลัวเกินกว่าจะเล่าเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นผิด ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว การขาดการสอนเรื่องเพศในวัฒนธรรมเอเชียไม่ได้เพียงแค่ทำให้เด็กไม่มีความรู้ แต่ยังสร้างช่องว่างให้ผู้ล่วงละเมิดใช้ประโยชน์จากความไร้เดียงสาและการไม่กล้าพูดของเด็ก การเปิดพื้นที่ให้เด็กเรียนรู้เรื่องเพศอย่างเหมาะสมกับวัย ไม่ใช่เพียงแค่การให้ข้อมูล แต่ยังเป็นการสร้างเกราะป้องกันให้เด็กเข้าใจสิทธิของตนเองและกล้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การสอนเรื่องเพศไม่ใช่การกระตุ้นให้เด็กสนใจเรื่องนี้เร็วขึ้น แต่คือการให้เครื่องมือป้องกันตัวเองในโลกที่ไม่ปลอดภัย การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้น1 ยู ฟ่า เบ ทได้จากครอบครัว โรงเรียน และสังคม เราต้องก้าวข้ามกรอบความคิดเดิมที่ว่า ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ในยุคโซเชียล การเตรียมตัวลูกให้พร้อมสำหรับโลกออนไลน์ เมื่อเขาอาจเจอเรื่องเพศจากอินเทอร์เน็ต เช่น การส่งข้อความลามก (sexting) หรือเจอภาพลามก (pornography) ถ้าลูกมาเล่าเรื่องนี้ อย่าดุลูก แต่ให้ใช้โอกาสนี้สอนแทน เช่น "แม่เข้าใจว่าลูกอาจสงสัย แต่สิ่งนี้ไม่เหมาะสมสำหรับวัยลูก" , "สิ่งสำคัญคือเราต้องเคารพตัวเองและคนอื่น" สอนเรื่องเพศเพื่อความปลอดภัย ลูกควรกล้าปฏิเสธการสัมผัสที่เขาไม่ต้องการ ด้วยการพูดคำว่า "ไม่เอา หนูไม่ชอบ" บอกลูกว่า "ร่างกายของลูกเป็นของลูก ถ้ามีอะไรที่ไม่สบายใจ บอกแม่ได้ทันที" และพูดเรื่องความยินยอม "ก่อนสัมผัสตัวใคร เราต้องถามก่อนว่าคนนั้นยินยอมหรือไม่" อายุ 0-2 ปี ให้คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง สอนผ่านกิจวัตรประจำวัน เวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นคือช่วงที่ลูกยังเล็ก ใช้เวลาร่วมกันตอนเปลี่ยนผ้าอ้อมหรืออาบน้ำเพื่อสอนลูกเรื่องร่างกาย เช่น การใช้ชื่ออวัยวะที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น จะช่วยให้ลูกเข้าใจและกล้าพูดถึงร่างกายของตัวเองได้อย่างมั่นใจ แต่อย่าอายที่จะสอนให้ลูกเรียก เพราะเมื่อเราสอนอวัยวะอื่นให้ลูกได้ การสอนให้เรียกชื่ออวัยวะเพศของตัวเด็กเองก็ย่อมทำได้เช่นกัน ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว อายุ 2-3 ปี วัยนี้ เด็กเริ่มสงสัยเรื่องร่างกายของตัวเองและคนอื่น คุณแม่อาจโดนคำถามเด็ด ๆ เช่น แนะนำให้ผู้ปกครองเตรียมหนังสือภาพที่มีรูปวาดน่ารัก ๆ มาเป็นตัวช่วย อายุ 4-5 ปี วัยนี้ลูกอาจเริ่มถามว่า "ตัวเขามาจากไหน ?" ให้ผู้ปกครองลองถามลูกกลับเพื่อดูว่าเขาเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เช่น ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว อายุ 6-8 ปี เมื่อถึงวัยนี้ ลูกอาจเริ่มสนใจว่า "เขาเข้าไปอยู่ในมดลูกได้ยังไง ?" หรือ "พี่สาวมีหน้าอกเพราะอะไร ?" คุณพ่อคุณแม่สามารถตอบได้อย่างตรงไปตรงมา เช่น การสอนเรื่องเพศศึกษาให้ลูกวัย 9 ขวบขึ้นไป ถือเป็นการเตรียมตัวที่สำคัญในการช่วยให้ลูกเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์ในช่วงวัยรุ่น สิ่งแรกที่ควรทำคือการเริ่มต้นด้วยการอธิบายพื้นฐานเกี่ยวกับร่างกายของลูก โดยการใช้คำศัพท์ที่ถูกต้อง ให้ลูกรู้จักและเข้าใจหน้าที่ของแต่ละอวัยวะอย่างถูกต้อง อธิบายเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในช่วงวัยรุ่น เช่น การมีประจำเดือนในเด็กผู้หญิง หรือการเปลี่ยนแปลงเสียงในเด็กผู้ชาย โดยพูดถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ "ในเชิงบวก" จะช่วยให้ลูกเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องธรรมชาติและเกิดขึ้นในทุกคน ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว อีกหนึ่งหัวข้อที่ควรสอนคือ "สิทธิในร่างกายของลูก" หรือ "Body Autonomy" ซึ่งหมายถึง พ่อแม่ควรสอนลูกให้รู้จักปฏิเสธการสัมผัสที่ไม่เหมาะสมและบอกให้ลูกทราบว่าไม่มีใครสามารถแตะต้องร่างกายของเขาได้หากไม่ได้รับความยินยอม สอนให้ลูกแยกแยะสัมผัสที่ปลอดภัย เช่น การกอดจากครอบครัว และสอนเรื่องการป้องกันตัวเอง รู้วิธีการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย เช่น การอยู่กับคนแปลกหน้าเพียงลำพัง รวมทั้งการสอนให้รู้จักการแจ้งเตือนผู้ใหญ่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สบายใจ เช่น ถูกล่วงละเมิด หรือสัมผัสที่ไม่ปลอดภัย เรื่องความสัมพันธ์และความเคารพในตัวเองและผู้อื่น เป็นอีกหัวข้อที่ไม่ควรมองข้าม การสอนให้เขารู้จักความสำคัญของการมีความสัมพันธ์ที่ดีและการเคารพซึ่งกันและกันก็เป็นส่วนหนึ่งของการสอนเพศศึกษา รวมถึงความยินยอมในการมีความสัมพันธ์ทางเพศ ควรให้ลูกรู้ว่าการมีความสัมพันธ์ทางเพศต้องเกิดจากความยินยอมของทั้ง 2 ฝ่าย และ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องเคารพสิทธิและความต้องการของกันและกัน ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว การสอนเพศศึกษาให้ลูกเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่การพูดคุยเพียงครั้งเดียว พ่อแม่ควรปรับวิธีการสอนและคำพูดให้เหมาะสมกับพัฒนาการและความเข้าใจของลูกในแต่ละช่วงวัย การสอนเพศศึกษาจะช่วยให้ลูกมีความรู้ในการปกป้องตัวเองจากการถูกล่วงละเมิด และยังเป็นการสร้างพื้นฐานในการตัดสินใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในอนาคตอย่างมีความรับผิดชอบ ที่มา : raisingchildren.net.au, esafekids.com.au, planned parenthood อ่านข่าวอื่น : หนี้-หึงหวง! ปมบุกยิง 4 ศพสมุทรปราการ ตร.จับหญิงเปิดบัญชีม้า แลกเงินหลักหมื่น
เพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจส่งไม้ต่อให้กับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นั่งหัวโต๊ะประชุม
วันนี้ (4 พ.ย.2564) ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน จ.พัทลุง กำลังเร่งตรวจสอบลายนิ้วมือแฝง รวมถึงหลักฐานที่เกี่ย
วันนี้ ( 28 ส.ค2567) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า การว่างงานใน
หลายประเทศในเอเชีย การพูดคุยเรื่องเพศยังคงเป็นเรื่องต้องห้ามและถูกมองว่า "น่าอาย" หรือ "ไม่เหมาะสม" โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเด็ก หลายครอบครัวหลีกเลี่ยงที่จะสอนหรือให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิในร่างกาย ความยินยอม (Consent) และการป้องกันตนเอง ส่งผลให้เด็กขาดภูมิคุ้มกันต่อสถานการณ์อันตราย กรณีการล่วงละเมิดทางเพศเด็กที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในข่าว ไม่ว่าจะเป็นจากคนในครอบครัว ครู หรือผู้ใหญ่ที่เด็กไว้วางใจ สะท้อนความล้มเหลวของระบบการศึกษาและวัฒนธรรมที่หลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น ข่าว ตร.บุกรวบครูก่อเหตุล่วงละเมิดนักเรียนชาย 9 คน กว่าที่ผู้ปกครองจะทราบเรื่อง เด็กต้องทนทุกข์และกลัวเกินกว่าจะเล่าเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นผิด ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว การขาดการสอนเรื่องเพศในวัฒนธรรมเอเชียไม่ได้เพียงแค่ทำให้เด็กไม่มีความรู้ แต่ยังสร้างช่องว่างให้ผู้ล่วงละเมิดใช้ประโยชน์จากความไร้เดียงสาและการไม่กล้าพูดของเด็ก การเปิดพื้นที่ให้เด็กเรียนรู้เรื่องเพศอย่างเหมาะสมกับวัย ไม่ใช่เพียงแค่การให้ข้อมูล แต่ยังเป็นการสร้างเกราะป้องกันให้เด็กเข้าใจสิทธิของตนเองและกล้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การสอนเรื่องเพศไม่ใช่การกระตุ้นให้เด็กสนใจเรื่องนี้เร็วขึ้น แต่คือการให้เครื่องมือป้องกันตัวเองในโลกที่ไม่ปลอดภัย การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้น1 ยู ฟ่า เบ ทได้จากครอบครัว โรงเรียน และสังคม เราต้องก้าวข้ามกรอบความคิดเดิมที่ว่า ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว ในยุคโซเชียล การเตรียมตัวลูกให้พร้อมสำหรับโลกออนไลน์ เมื่อเขาอาจเจอเรื่องเพศจากอินเทอร์เน็ต เช่น การส่งข้อความลามก (sexting) หรือเจอภาพลามก (pornography) ถ้าลูกมาเล่าเรื่องนี้ อย่าดุลูก แต่ให้ใช้โอกาสนี้สอนแทน เช่น "แม่เข้าใจว่าลูกอาจสงสัย แต่สิ่งนี้ไม่เหมาะสมสำหรับวัยลูก" , "สิ่งสำคัญคือเราต้องเคารพตัวเองและคนอื่น" สอนเรื่องเพศเพื่อความปลอดภัย ลูกควรกล้าปฏิเสธการสัมผัสที่เขาไม่ต้องการ ด้วยการพูดคำว่า "ไม่เอา หนูไม่ชอบ" บอกลูกว่า "ร่างกายของลูกเป็นของลูก ถ้ามีอะไรที่ไม่สบายใจ บอกแม่ได้ทันที" และพูดเรื่องความยินยอม "ก่อนสัมผัสตัวใคร เราต้องถามก่อนว่าคนนั้นยินยอมหรือไม่" อายุ 0-2 ปี ให้คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง สอนผ่านกิจวัตรประจำวัน เวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นคือช่วงที่ลูกยังเล็ก ใช้เวลาร่วมกันตอนเปลี่ยนผ้าอ้อมหรืออาบน้ำเพื่อสอนลูกเรื่องร่างกาย เช่น การใช้ชื่ออวัยวะที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น จะช่วยให้ลูกเข้าใจและกล้าพูดถึงร่างกายของตัวเองได้อย่างมั่นใจ แต่อย่าอายที่จะสอนให้ลูกเรียก เพราะเมื่อเราสอนอวัยวะอื่นให้ลูกได้ การสอนให้เรียกชื่ออวัยวะเพศของตัวเด็กเองก็ย่อมทำได้เช่นกัน ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว อายุ 2-3 ปี วัยนี้ เด็กเริ่มสงสัยเรื่องร่างกายของตัวเองและคนอื่น คุณแม่อาจโดนคำถามเด็ด ๆ เช่น แนะนำให้ผู้ปกครองเตรียมหนังสือภาพที่มีรูปวาดน่ารัก ๆ มาเป็นตัวช่วย อายุ 4-5 ปี วัยนี้ลูกอาจเริ่มถามว่า "ตัวเขามาจากไหน ?" ให้ผู้ปกครองลองถามลูกกลับเพื่อดูว่าเขาเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เช่น ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว อายุ 6-8 ปี เมื่อถึงวัยนี้ ลูกอาจเริ่มสนใจว่า "เขาเข้าไปอยู่ในมดลูกได้ยังไง ?" หรือ "พี่สาวมีหน้าอกเพราะอะไร ?" คุณพ่อคุณแม่สามารถตอบได้อย่างตรงไปตรงมา เช่น การสอนเรื่องเพศศึกษาให้ลูกวัย 9 ขวบขึ้นไป ถือเป็นการเตรียมตัวที่สำคัญในการช่วยให้ลูกเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์ในช่วงวัยรุ่น สิ่งแรกที่ควรทำคือการเริ่มต้นด้วยการอธิบายพื้นฐานเกี่ยวกับร่างกายของลูก โดยการใช้คำศัพท์ที่ถูกต้อง ให้ลูกรู้จักและเข้าใจหน้าที่ของแต่ละอวัยวะอย่างถูกต้อง อธิบายเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในช่วงวัยรุ่น เช่น การมีประจำเดือนในเด็กผู้หญิง หรือการเปลี่ยนแปลงเสียงในเด็กผู้ชาย โดยพูดถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ "ในเชิงบวก" จะช่วยให้ลูกเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องธรรมชาติและเกิดขึ้นในทุกคน ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว อีกหนึ่งหัวข้อที่ควรสอนคือ "สิทธิในร่างกายของลูก" หรือ "Body Autonomy" ซึ่งหมายถึง พ่อแม่ควรสอนลูกให้รู้จักปฏิเสธการสัมผัสที่ไม่เหมาะสมและบอกให้ลูกทราบว่าไม่มีใครสามารถแตะต้องร่างกายของเขาได้หากไม่ได้รับความยินยอม สอนให้ลูกแยกแยะสัมผัสที่ปลอดภัย เช่น การกอดจากครอบครัว และสอนเรื่องการป้องกันตัวเอง รู้วิธีการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย เช่น การอยู่กับคนแปลกหน้าเพียงลำพัง รวมทั้งการสอนให้รู้จักการแจ้งเตือนผู้ใหญ่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สบายใจ เช่น ถูกล่วงละเมิด หรือสัมผัสที่ไม่ปลอดภัย เรื่องความสัมพันธ์และความเคารพในตัวเองและผู้อื่น เป็นอีกหัวข้อที่ไม่ควรมองข้าม การสอนให้เขารู้จักความสำคัญของการมีความสัมพันธ์ที่ดีและการเคารพซึ่งกันและกันก็เป็นส่วนหนึ่งของการสอนเพศศึกษา รวมถึงความยินยอมในการมีความสัมพันธ์ทางเพศ ควรให้ลูกรู้ว่าการมีความสัมพันธ์ทางเพศต้องเกิดจากความยินยอมของทั้ง 2 ฝ่าย และ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องเคารพสิทธิและความต้องการของกันและกัน ภาพประกอบข่าว ภาพประกอบข่าว การสอนเพศศึกษาให้ลูกเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่การพูดคุยเพียงครั้งเดียว พ่อแม่ควรปรับวิธีการสอนและคำพูดให้เหมาะสมกับพัฒนาการและความเข้าใจของลูกในแต่ละช่วงวัย การสอนเพศศึกษาจะช่วยให้ลูกมีความรู้ในการปกป้องตัวเองจากการถูกล่วงละเมิด และยังเป็นการสร้างพื้นฐานในการตัดสินใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในอนาคตอย่างมีความรับผิดชอบ ที่มา : raisingchildren.net.au, esafekids.com.au, planned parenthood อ่านข่าวอื่น : หนี้-หึงหวง! ปมบุกยิง 4 ศพสมุทรปราการ ตร.จับหญิงเปิดบัญชีม้า แลกเงินหลักหมื่น
หลายประเทศในเอเชีย การพูดคุยเรื่องเพศยังคงเป็นเรื่องต้องห้ามและถูกมองว่า "น่าอาย" หรือ "ไม่เหมาะสม"