วันนี้ (8 ม.ค.2564) รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก "Thira Wo
เพจ Maesaipress และ เพจจอมเผือก นำเสนอข่าวตำรวจแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว พบยาบ้าสีเขียวประทับตรา Y1 300,000 เม็ด ในรถกระบะต้องสงสัยคันหนึ่งริมแม่น้ำโขง ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย วันที่ 23 กันยายน ก่อนขย
วันนี้ (8 ม.ค.2564) รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat" วิเคราะห์ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ในประเทศไทย โดยมองว่า จากไทม์ไลน์ของผู้ติดเชื้อ ขณะนี้ทุกที่มีความเสี่ยง และทำให้ทุกคนเสี่ยงเช่นกัน "Everywhere is riskier and everyone is at risk" โดยยกตัวอย่างการติดเชื้อที่กระจายไปในสถานที่ต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค หลายกิจกรรม หลายสถานที่ รวมถึงการไปติดกันในครัวเรือนของสมาชิกในครอบครัว และเห็นว่า การระบาดซ้ำไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเสี่ยงอีกต่อไป แต่กระจายไปทุกกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นผู้แพร่เชื้อ หรือผู้รับเชื้อได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นการยึดติดกับการตรวจกลุ่มเสี่ยง เพื่อหวังจะควบคุมโรค จึงใช้ไม่ได้อีกต่อไป จำเป็นต้องตรวจพื้นที่เสี่ยง กิจกรรม/กิจการเสี่ยง ควบคู่ไปกับการปลดล็อกกฎเกณฑ์เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการได้ ไม่จำเป็นต้องมีอาการ หรือประวัติ ส่วนยุทธวิธีที่จะจัดการระบาดซ้ำได้คือ การตรวจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้ทุกวิธีที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม เช่น การแยงจมูก ร่วมกับการตรวจน้ำลายแบบรวมกลุ่มตรวจ การตรวจน้ำเสียจากชุมชนหรือสถานประกอบกิจการ "Contact tracing system overload" จำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนมากในช่วงระบาดซ้ำ จะทำให้ระบบการสอบสวนโรคและติดตามโรคทำงานหนักมาก และอาจไม่สามารถรับมือไหว ดังนั้นหัวใจสำคัญที่สุดคือ มาตรการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อที่เคร่งครัด เพื่อลดการติดเชื้อให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระบบการสอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัสความเสี่ยง เป็นกระบวนการมาตรฐานที่จำเป็นต้องทำ แต่ในภาวะระบาดซ้ำ ให้ทำใจยอมรับว่า หากนโยบายและมาตรการป้องกันโรคระบาดไม่เข้มแข็งเข้มข้น หรือเคร่งครัดเฉียบขาดเพียงพอ ก็จะไม่สามารถระงับการแพร่กระจายได้ ดังนั้น การระบาดซ้ำ หากเยอะและกระจายไปทั่วภูมิภาค หลักการสำคัญทางการแพทย์และสาธารณสุขคือ การทำให้อยู่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหวไปมาหาสู่กัน ควบคู่กับการป้องกันตัวบุคคลไม่ให้ติดเชื้อ ด้วยการใช้อุปกรณ์ป้องกันและสุขนิสัย และเร่งหาผู้ติดเชื้อเพื่อนำเข้าสู่ระบบการดูแลรักษา สำหรับสิ่งที่ควรระวัง คือ 1.ตั้งแต่ปลายสัปดาห์นี้ คาดว่าจะเป็นช่วงที่คนเดินทางในช่วงปีใหม่แล้วได้รับเชื้อมา จะเริ่มมีอาการ เพราะระยะฟักตัวเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 5 วัน ดังนั้นขอให้คอยสังเกตอาการให้ดี หากมีไข้ ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ดมไม่ได้กลิ่น ลิ้นรับรสไม่ได้ หรือท้องเสีย ขอให้รีบปรึกษาแพทย์ และไปตรวจ COVIDgolden678 pg-19 2.ตราบใดที่การเดินทางไปมาในพื้นที่อื่นๆ นอกจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ยังดำเนินไปเช่นนี้ ตามหลักวิชาการแพทย์ยังยืนยันว่า คงมีการติดเชื้อกันไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคน เน้นย้ำว่าจำเป็นต้องอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อตัวเอง ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น หากออกจากบ้านต้องใส่หน้ากากให้ปิดทั้งจมูกและปาก พกเจลแอลกอฮอล์หรือสเปรย์ และย้ำว่าไม่ควรกินในร้าน ควรซื้อกลับไปกินที่บ้าน หรือหากเป็นช่วงกลางวันที่ทำงาน ก็ซื้อใส่กล่องกลับไปแยกกินคนเดียว พร้อมขอให้ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด ข่าวที่เกี่ยวข้อง “หมอประสิทธิ์” จี้ตั้ง รพ.สนาม หลังพื้นที่เสี่ยงส่งสัญญาณเตียงไม่พอ นายกฯ ย้ำไม่โหลด "หมอชนะ" ไม่ผิด แต่อย่าปิดบังข้อมูล COVID-19 ระลอกใหม่ ทำคนไทยเครียดขึ้น แนะฉีด "วัคซีนใจ"
วันนี้ (14 ม.ค.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาหัวข้อ พฤติกรรมวัยรุ่นกับสารเสพติด บุหรี่ต้นทางสู่ยาเสพติดกับกรณีเคนมผ