ข่าว กีฬา t sport
วันนี้ (19 ต.ค.2566) เว็บไซต์ Air4thai ของกรมควบคุ
฿83614
บาท1
ห้องนอน
02
ห้องน้ำ
942
ตร.ม.
฿ 4801
/ ตารางเมตร
ข่าว กีฬา t sport
อังกฤษเปิดตัวสนามแข่งขันกรีฑาโอลิมปิก 2012 ฝ่ายจัด
UID: 08946
สืบเนื่องจากกรณีมีผู้สูงอายุได้รับความเดือดร้อนจากการเรียกคืนเบี้ยยังชีพคนชราที่จ่ายโดยกรมบัญชีกลาง
เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2565 เจ้าหน้าที่เร่งนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลศรีสังวาลย์ เพื่อทำการรักษา หลังประสบ
วันนี้ (24 ธ.ค.2564) เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดย นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และ ผศ.สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยนายพิทยา จินาวัฒน์ และนายบุญเกื้อ สมนึก ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สำคัญประจำปี 2564 กรณีการชุมนุมทางการเมืองระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 ซึ่ง กสม. มีมติในคราวการประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 53/2564 (28) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 เห็นชอบรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าว โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ ตามที่ กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนอันเกี่ยวเนื่องกับกรณีการชุมนุมทางการเมืองในระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 หลายคำร้อง ประกอบกับพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุการณ์การชุมนุมเมื่อวันที่ 16 และ 18 ก.ค.2564 รวมทั้งเมื่อวันที่ 1 และ 7 ส.ค.2564 อาจมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงได้มีมติให้ตรวจสอบและตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ โดยได้รับฟังข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย ทั้งจากกลุ่มผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (เจ้าหน้าที่ คฝ.) หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง สื่อมวลชน ผู้พักอาศัยบริเวณรอบพื้นที่การชุมนุม และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งจัดให้มีเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้ง และการคุ้มครองสิทธิเด็กในสถานการณ์การชุมนุม ร่วมกับตัวแทนผู้ชุมนุม หน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคประชาสังคมด้านสิทธิมนุษยชน นักวิชาการด้านสันติวิธี และนักจิตวิทยาเด็ก นอกจากนี้ยังได้เฝ้าระวังสถานการณ์ และลงพื้นที่สังเกตการณ์การชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนลงพื้นที่ไปติดตามการจับกุมผู้ถูกจับกุมเพื่อตรวจสอบและประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนด้วย จากการตรวจสอบ พบว่า การชุมนุมทางการเมืองในระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 เป็นการรวมตัวของประชาชนที่ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา นักกิจกรรมทางการเมือง เพื่อแสดงความเห็นและมีข้อเรียกร้องปฏิรูปทางการเมืองควบคู่กับข้อเรียกร้องต่อมาตรการของรัฐบาล ในการบริหารจัดการสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด-19) โดยมีรูปแบบการชุมนุมที่สำคัญ 3 รูปแบบ คือ (1) การชุมนุมที่เป็นการประท้วง การเดินขบวนประท้วง และการชุมนุมแบบแฟลชม็อบ (2) การชุมนุมในรูปแบบกิจกรรม “คาร์ม็อบ (Car Mob) และ “ไบก์ม็อบ” (Bike Mob) และ (3) การชุมนุมที่ไม่มีกลุ่มหรือแกนนำขับเคลื่อนการชุมนุมอย่างชัดเจน โดยการตรวจสอบมีประเด็นที่ กสม. ได้พิจารณาและมีความเห็น ดังนี้ 1.การใช้อำนาจรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุม พิจารณาว่ามีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ พบว่า การบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548) เพื่อจัดการและควบคุมการชุมนุมของรัฐบาล มีแนวโน้มเป็นการห้ามการชุมนุมแบบเหมารวมและห้ามชุมนุมโดยเด็ดขาด และไม่ได้สัดส่วนระหว่างเสรีภาพในการชุมนุม กับความปลอดภัยสาธารณะ (การป้องกันภัยทางสาธารณสุข) นอกจากนี้ ยังมีการจับกุมผู้ที่มาชุมนุมและดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 และกฎหมายอื่น ซึ่งถือเป็นการสร้างความหวาดกลัวต่อการใช้เสรีภาพในการชุมนุม จึงมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ชุมนุม ส่วนการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุม พบว่า หลายกรณี เจ้าหน้าที่ คฝ. ได้ใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนด้วยวิธีการไม่เหมาะสม เช่น ใช้กระบองในลักษณะที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรง ยิงกระสุนยางในแนวสูงระดับศีรษะ หรือ ยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปตกในที่พักอาศัยของประชาชน อันเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามหลักปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนตามแผนการดูแลการชุมนุมสาธารณะ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2558 และไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำในการบังคับใช้กฎหมาย (United Nations Human Rights Guidance on Less-Lethal Weapons in Law Enforcement) ขณะที่การใช้กำลังจับกุมผู้ชุมนุมนั้น หลายกรณีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บจากการเข้าจับกุมของเจ้าหน้าที่ เช่น การใช้กระสุนยางยิงสกัดการหลบหนี การขับรถยนต์ตัดหน้าเฉี่ยวชนหรือถีบรถจักรยานยนต์จนล้มลง ซึ่ง กสม. เห็นว่า แม้ผู้ที่ถูกจับกุมจะมีการใช้ความรุนแรงในการแสดงออกร่วมอยู่ แต่ไม่มีเหตุจำเป็นที่เจ้าหน้าที่จะต้องใช้วิธีการรุนแรงโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมาโดยเฉพาะการเข้าจับกุมเด็กและเยาวชน จึงเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และไม่ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ของผู้ถูกจับกุม อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน สำหรับการดำเนินการตามกระบวนยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พบว่า มีการใช้เครื่องพันธนาการในการจับกุมเด็กและเยาวชน ซึ่งขณะที่ถูกจับกุมในบางกรณีเยาวชนไม่มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนีหรือต่อสู้ขัดขวาง แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใส่สายรัดข้อมือ (Cable Tie) เป็นเครื่องพันธนาการ และยังปรากฏกรณีเยาวชนถูกควบคุมตัวร่วมกับผู้ต้องหาผู้ใหญ่ โดยไม่มีการแยกให้อยู่ในสถานที่พิเศษเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ยังพบว่า มีผู้ถูกจับกุมถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจซึ่งไม่ใช่ที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับหรือที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เช่น ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จังหวัดปทุมธานี (ตชด. ภาค 1) ส่งผลให้ทนายความไม่สามารถเข้าพบผู้ต้องหา เพื่อให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายได้ในทันที ในประเด็นการปล่อยชั่วคราว ซึ่งมีทั้งกลุ่มผู้ถูกจับและควบคุมตัวที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยไม่ต้องมีประกันและมีประกัน และมีกรณีที่ศาลไม่ให้ประกันตัวด้วยเหตุผลพฤติการณ์ในการกระทำความผิดครั้งหลัง ผิดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราว หรืออาจมีการกระทำผิดซ้ำ กสม. เห็นว่า กรณีนี้แม้จะเป็นการใช้ดุลพินิจตามอำนาจหน้าที่ของศาล แต่การพิจารณาให้ปล่อยชั่วคราวควรยึดหลักที่ว่าทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราวนั้นต้องเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรตามที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.อาญา. เท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งรับรองสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด และสิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี 2.ความเห็นต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน แม้การชุมนุมทางการเมืองในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 จะอยู่ในช่วงเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน 2548 เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แต่การชุมนุมในรูปแบบกิจกรรม “คาร์ม็อบ” (Car Mob) และไบก์ม็อบ (Bike Mob) ซึ่งเป็นการขับขี่ยานพาหนะไปตามเส้นทางต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค การเดินขบวนประท้วง และการชุมนุมแบบแฟลชม็อบ ซึ่งโดยทั่วไปเป็นการชุมนุมเพื่อแสดงออกทางการเมืองและไม่มีจุดประสงค์ในการใช้ความรุนแรง การชุมนุมทั้งสองรูปแบบนี้จึงถือเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี รูปแบบการชุมนุมที่ไม่มีกลุ่มหรือแกนนำขับเคลื่อนอย่างชัดเจน โดยที่กลุ่มผู้ชุมนุมใช้สิ่งเทียมอาวุธตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถือเป็นการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงและมิใช่การชุมนุมโดยสงบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ใช้มาตรการบังคับทางกฎหมายได้ แต่ต้องคำนึงถึงหลักความเหมาะสมและได้สัดส่วน โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชน 3.ความเห็นต่อผลกระทบและการเยียวยาความเสียหายจากสถานการณ์การชุมนุม เห็นว่า ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายหรือระเบียบรองรับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองเป็นการเฉพาะ แม้มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 และวันที่ 13 มิถุนายน 2560 จะกำหนดให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำกฎหมายหรือระเบียบ เงื่อนไขและวิธีการช่วยเหลือเยียวยาที่ครอบคลุมทุกกรณี แต่ปัจจุบันยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จและยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายในประเด็นนี้ 4.ความเห็นต่อกรณีการคุ้มครองเด็กในสถานการณ์การชุมนุม พบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีการแยกแยะกลุ่มเด็กออกจากกลุ่มผู้ใหญ่ในการชุมนุม รวมทั้งไม่ปฏิบัติต่อเด็กด้วยวิธีการที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ ทั้งในเรื่องการใช้กำลังในการควบคุมดูแลการชุมนุม และปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม ซึ่ง กสม.ได้มีข้อเสนอแนะเพื่อคุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของเด็กในสถานการณ์การชุมนุม (กรณีสามเหลี่ยมดินแดง) ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อเดือนกันยายน 2564 ซึ่งหน่วยงานเห็นชอบต่อข้อเสนอแนะของ กสม. จากผลการตรวจสอบและความเห็นข้างต้น กสม. จึงมีข้อเสนอแนะไปยังคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สรุปได้ดังนี้ รวมทั้งต้องจัดให้ผู้ถูกจับกุมทุกคนได้รับสิทธิที่พึงมีตามกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนหลีกเลี่ยงการกระทำ อันเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิของผู้ถูกจับกุมในการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้คณะรัฐมนตรีหลีกเลี่ยงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 เป็นไปเพื่อป้องกันภัยร้ายแรงที่กระทบต่อความมั่นคง ไม่อาจนำไปใช้ในการชุมนุมทางการเมืองทั่วไป และควรมอบหมายกระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการจัดทำกฎหมายหรือระเบียบกลางในการช่วยเหลือเยียวยา ที่ครอบคลุมทุกกรณี รวมทั้งกรณีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองโดยเร็ว ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรกำหนดแนวทางปฏิบัติให้การควบคุมการชุมนุมกระทำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบ โดยการจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมต้องให้การคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกจับและผู้ต้องหาอย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการตั้งข้อหาที่เป็นการจำกัดหรือสร้างภาระแก่ผู้ใช้สิทธิและเสรีภาพเกินสมควรแก่เหตุ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ศาลยุติธรรมพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจเกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราว ให้สอดคล้องกับหลักการที่รัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองให้การรับรองและคุ้มครอง และควรพิจารณามาตรการอื่นแทนการคุมขังด้วย พร้อมกันนี้ กสม. มีข้อเสนอแนะต่อการจัดการชุมนุม ซึ่งต้องเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธและสิ่งเทียมอาวุธ โดยต้องคำนึงถึงสิทธิและความปลอดภัยของบุคคลอื่นรวมถึงความรับผิดชอบต่อผู้เข้าร่วมการชุมนุม ต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากอันตรายในการชุมนุม และการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และเหตุอื่น โดยเฉพาะการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่เด็กและเยาวชน รวมทั้งควรมีช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้จัดการชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้การชุมนุมเป็นไปตามหลักสากล รายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่องเสรีภาพในการชุมนุม อันเกี่ยวเนื่องกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิเด็ก สิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว และเสรีภาพในการเดินทาง กรณีการชุมนุมทางการเมืองในระหว่างเดือนกรกฎาคม - กันยายน 2564 1.ความเป็นมาจากการประมวลสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 และ 18 กรกฎาคม 2564 รวมทั้งเมื่อวันที่ 1 และ 7 สิงหาคม 2564 อาจมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงมีมติเห็นสมควรให้มีการตรวจสอบ ตามคำร้องที่ 147/2564 คำร้องที่ 154/2564 และคำร้องที่ 155/2564 นอกจากนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองในระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 ดังนี้ (1) คำร้องที่กล่าวอ้างว่า รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งผู้ร้องเรียนเห็นว่า การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมและสลายการชุมนุม การจับกุมแกนนำและผู้ชุมนุม รวมทั้งการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบในการแทรกแซงและจำกัดเสรีภาพในการชุมนุม จึงขอให้ตรวจสอบ จำนวน 7 คำร้อง ได้แก่ คำร้องที่ 151/2564 คำร้องที่ 158/2564 คำร้องที่ 166/2564 คำร้องที่ 182/2564 คำร้องที่ 186/2564 และคำร้องที่ 206 – 207/2564 (2) คำร้องที่กล่าวอ้างว่า กลุ่มผู้ชุมนุมกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากกรณีการชุมนุมคาร์ม็อบ (Car Mob) ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 7 และ 15 สิงหาคม 2564 ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จึงขอให้ตรวจสอบ ตามคำร้องที่ 167/2564 (3) คำร้องที่ขอให้ประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเพื่อเยียวยาความเสียหาย ตามคำร้องที่ 164/2564 2.ประเด็นการตรวจสอบกรณีมีปัญหาที่ต้องพิจารณา 4 ประเด็น ดังนี้1. การใช้อำนาจรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุม1.1 การจัดการและการควบคุมดูแลการชุมนุมของรัฐมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่1.2 การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุมมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่1) การใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนต่อผู้ชุมนุม2) การใช้กำลังจับกุมผู้ชุมนุม1.3 การดำเนินการตามกระบวนยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่1) การใช้เครื่องพันธนาการและการควบคุมตัว2) การแจ้งสิทธิหรือให้สิทธิแก่ผู้ถูกจับกุมหรือผู้ต้องหา3) ข้อกล่าวหาและฐานความผิด4) การปล่อยชั่วคราว 2.ความเห็นต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน3.ความเห็นต่อผลกระทบและการเยียวยาความเสียหาย4.ความเห็นต่อกรณีการคุ้มครองเด็กในสถานการณ์การชุมนุม 3.ผลการพิจารณา1.การใช้อำนาจรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุม1.1 การจัดการและการควบคุมดูแลการชุมนุมของรัฐมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดการและการควบคุมดูแลการชุมนุมของรัฐ โดยการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มีแนวโน้มที่เป็นการห้ามการชุมนุมแบบเหมารวม และห้ามชุมนุมโดยเด็ดขาด ไม่ได้สัดส่วนระหว่างเสรีภาพในการชุมนุม กับความปลอดภัยสาธารณะ (การป้องกันภัยทางสาธารณสุข) ดังจะเห็นได้จากการประกาศแจ้งให้ผู้ชุมนุมทราบว่า การชุมนุมเป็นความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และการนำสิ่งกีดขวางทางกายภาพ เช่น ตู้คอนเทนเนอร์ แผงเหล็ก และโดยเฉพาะการนำลวดหีบเพลงแถบหนามซึ่งเป็นวัตถุที่มีความอันตรายอาจทำให้เกิดการได้รับบาดเจ็บได้ มาวางปิดกั้นเส้นทางของผู้ชุมนุมตั้งแต่ก่อนจะถึงเวลานัดหมายการชุมนุม และเป็นการวางในระยะที่ห่างไกลกับสถานที่ซึ่งเป็นเป้าหมายของผู้ชุมนุม ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจในบริเวณที่มีการวางสิ่งกีดขวางจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนั้นยังมีการจับกุมผู้ที่มาชุมนุมในเวลาต่อมาและดำเนินคดีในความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และกฎหมายอื่น ถือเป็นการสร้างความหวาดกลัวต่อการใช้เสรีภาพในการชุมนุม กรณีจึงมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องต่อข้อคิดเห็นทั่วไป ฉบับที่ 37 (General Comment No.37 on the right of peaceful assembly) เกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Human Rights Committee) 1.2 การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุมมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ 1) การใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนต่อผู้ชุมนุมจากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนในหลายเหตุการณ์ที่เกิดการปะทะกัน สามารถสรุปการใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนแต่ละประเภทในภาพรวมได้ ดังนี้1.1) การใช้กระบองข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนมีการแจ้งเตือนก่อนการใช้กระบองกับผู้ชุมนุม อีกทั้งมีการใช้กระบองในลักษณะที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงหลายครั้ง1.2) การใช้รถควบคุมฝูงชนฉีดน้ำแรงดันสูงข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการผสมแก๊สน้ำตาและสารเคมีสีม่วงในน้ำหลายครั้ง ส่วนใหญ่ประกาศแจ้งเตือนว่าจะมีการฉีดน้ำ แต่บางครั้งก็ไม่ได้มีการแจ้งเตือนก่อน หรือบางกรณีการประกาศแจ้งเตือนมีเสียงที่เบามากทำให้ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ได้ยินการแจ้งเตือน ในหลายครั้งพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ฉีดน้ำไปทางสื่อมวลชนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่และผู้ชุมนุมที่ไม่ได้ก่อความรุนแรง อีกทั้งยังพบว่ามีการฉีดน้ำจากทางยกระดับลงมาใส่ผู้ชุมนุมที่อยู่ด้านล่างด้วย และพบว่ามีผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมได้รับผลกระทบจากกลิ่นควันของแก๊สน้ำตา ซึ่งมีเด็กเล็กรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังพบว่ามีการยิงแก๊สน้ำตาในระดับขนานกับพื้น โดยไม่ใช่การยิงด้วยมุมสูง 1.4) การใช้กระสุนยางข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลายครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แจ้งเตือนผู้ชุมนุมให้ทราบก่อน บางกรณีมีการแจ้งเตือนเพียงแค่ครั้งแรก แต่หลังจากนั้นไม่ได้แจ้งเตือนอีก ทั้งยังพบว่ามีการยิงกระสุนยางในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรง ได้แก่ การยิงในแนวสูงระดับศีรษะ การยิงจากบนรถกระบะขณะเคลื่อนที่จับกุม การยิงจากบริเวณที่สูงลงมา การยิงในระยะประชิด การยิงใส่ผู้ชุมนุมที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีอาวุธหรือเป็นผู้ก่อความรุนแรง รวมถึงการระดมยิงโดยไม่แยกแยะและไม่เลือกเป้าหมายว่าผู้ที่อยู่ในแนววิถีการยิงเป็นผู้ที่ก่อความรุนแรงหรือไม่ ซึ่งส่งผลให้มีผู้ชุมนุมที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงหรือผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องได้รับบาดเจ็บ ทั้งการบาดเจ็บเล็กน้อยและการบาดเจ็บที่รุนแรงโดยเฉพาะบริเวณศีรษะและดวงตา นอกจากนี้ยังพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยิงกระสุนยางเข้าไปในบริเวณอาคารที่พักอาศัยของประชาชนด้วย โดยสรุปแล้วเห็นว่า การใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนในลักษณะดังกล่าวข้างต้นเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามหลักปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนตามแผนการดูแลการชุมนุมสาธารณะ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2558 และไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำในการบังคับใช้กฎหมาย (United Nations Human Rights Guidance on Less-Lethal Weapons in Law Enforcement) กรณีจึงมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน 2) การใช้กำลังจับกุมผู้ชุมนุมจากการตรวจสอบพบว่า ในระยะหลัง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าทำการจับกุมผู้ชุมนุมมักจะใช้ “ชุดเคลื่อนที่เร็ว” เข้ารุกไล่จับกุม ซึ่งในหลายกรณีปรากฏว่า ผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมมักจะได้รับบาดเจ็บจากการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กระสุนยางยิงสกัดการหลบหนี อีกทั้งยังพบว่ามีการผลักรถจักรยานยนต์ให้ล้มก่อนเข้าจับกุม หรือการขว้างโล่และใช้เท้าถีบไปที่รถจักรยานยนต์ของผู้ชุมนุมที่กำลังขับรวมกลุ่มกันจนล้มระเนระนา พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ผู้ที่ถูกจับกุมจะมีการใช้ความรุนแรงในการแสดงออกร่วมอยู่ด้วย แต่ก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้วิธีการเข้าจับกุมโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมา ทั้งผู้ถูกจับกุมส่วนหนึ่งยังเป็นเยาวชน บางรายมีอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ การใช้กำลังจับกุมดังกล่าวนั้น จึงเป็นไปโดยไม่เหมาะสมและไม่ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ของผู้ถูกจับกุม กรณีจึงมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน 1.3 การดำเนินการตามกระบวนยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ 1) การใช้เครื่องพันธนาการและการควบคุมตัว1.1) จากการตรวจสอบพบว่า มีการใช้เครื่องพันธนาการในการจับกุมเด็กและเยาวชน ซึ่งขณะที่ถูกจับกุมในบางกรณีนั้น ผู้ต้องหาได้แจ้งว่าเป็นเยาวชน หรือไม่ได้มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนีหรือต่อสู้ขัดขวาง แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใส่สายรัดข้อมือ (Cable Tie) เป็นเครื่องพันธนาการ 1.2) จากการตรวจสอบพบว่า มีกรณีเยาวชนถูกควบคุมตัวโดยไม่มีการแยกให้อยู่ในสถานที่พิเศษเป็นการเฉพาะ อีกทั้งบางกรณีมีการนำตัวผู้ถูกจับกุมซึ่งเป็นเยาวชนไปควบคุมตัวไว้ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ร่วมกับผู้ต้องหาที่เป็นผู้ใหญ่ โดยไม่มีการแยกพื้นที่ควบคุมตัวอย่างเป็นสัดส่วน พิจารณาแล้วเห็นว่า การควบคุมตัวเยาวชนในสถานที่และลักษณะดังกล่าวเป็นไปโดยไม่เหมาะสมและไม่ได้คำนึงถึงสภาวะของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ กรณีจึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อเยาวชนที่ถูกควบคุมตัว 1.3) จากการตรวจสอบประเด็นเรื่องระยะเวลาการควบคุมตัวเด็กหรือเยาวชนนั้น ยังไม่ปรากฏว่ามีการควบคุมตัวเด็กหรือเยาวชนไว้เกินกว่าระยะเวลาตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดแต่อย่างใด 1.4) จากการตรวจสอบประเด็นสถานที่ควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมนั้น พบว่ามีผู้ถูกจับกุมถูกนำตัวไปควบคุมและสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จังหวัดปทุมธานี และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด รวมถึงสถานีตำรวจซึ่งไม่ใช่ที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับหรือที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ พิจารณาแล้วเห็นว่า การควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมไว้ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จังหวัดปทุมธานี รวมถึงสถานที่อื่นซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่เกิดเหตุหรือที่ถูกจับ ส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้ถูกจับหลายประการ ทั้งการที่ทนายความไม่สามารถเข้าพบผู้ต้องหาได้ในทันที ทำให้การให้ช่วยเหลือทางกฎหมายเป็นไปอย่างล่าช้า อีกทั้งในบางกรณีมีการยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ถูกจับและไม่อนุญาตให้ทนายความนำโทรศัพท์เข้าไปได้ ทำให้กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของทนายความเพื่อให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย รวมทั้งยังมีการจำกัดการเข้าเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติ 2) การแจ้งสิทธิหรือให้สิทธิแก่ผู้ถูกจับกุมหรือผู้ต้องหาจากการตรวจสอบพบว่า การดำเนินคดีบางกรณีในระหว่างการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาและไม่ได้แจ้งสิทธิของผู้ถูกจับกุม ไม่ยินยอมให้ติดต่อญาติหรือผู้ไว้วางใจเพื่อแจ้งให้ทราบถึงสถานที่ที่ถูกจับ นอกจากนี้ เมื่อขั้นตอนและกระบวนการในลักษณะดังกล่าวไม่มีทนายความเข้าร่วมด้วย อาจมีความสุ่มเสี่ยงที่ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาอาจถูกละเมิดสิทธิในรูปแบบต่าง ๆ อีก เช่น การถูกยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือถูกบังคับให้ลงลายมือชื่อในเอกสาร กรณีนี้จึงเห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ควรจะต้องเคารพและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกจับและผู้ต้องหาดังกล่าวอย่างเคร่งครัด มิเช่นนั้นอาจกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในกระบวนการยุติธรรม 3) ข้อกล่าวหาและฐานความผิด จากการตรวจสอบพบว่า มีการดำเนินคดีต่อแกนนำและผู้ชุมนุมในข้อหาและฐานความผิดจากลักษณะและพฤติการณ์อันเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการชุมนุมตามพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ จะมีการตั้งข้อหาและฐานความผิดเกี่ยวกับการฝ่าฝืนคำสั่งของจังหวัดนั้น ๆ ในเรื่องมาตรการป้องกันและการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกทั้งยังพบมีการดำเนินคดีในฐานความผิดเกี่ยวกับการจราจร หรือการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมซึ่งใช้สิ่งเทียมอาวุธ เช่น ระเบิดปิงปอง วัตถุติดไฟ (ระเบิดเพลิง) ในข้อหาหรือฐานความผิดซึ่งมักจะมีลักษณะเป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญา พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินคดีในข้อหาหรือฐานความผิดข้างต้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่อาจส่งผลกระทบต่อกรณีที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง รวมถึงการดำเนินคดีในบางกรณีอาจทำให้เกิดความกลัวที่จะใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าว ตลอดจนเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ เช่น การดำเนินคดีในฐานความผิดเกี่ยวกับการจราจร หรือการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต 4) การปล่อยชั่วคราวจากการตรวจสอบพบว่า จากเหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้น มีทั้งกลุ่มผู้ถูกจับและควบคุมตัวที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยไม่ต้องมีประกัน กลุ่มที่ถูกนำตัวไปศาลเพื่อขอให้ออกหมายขังแต่ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันหรือไม่มีประกัน และกลุ่มที่ถูกนำตัวไปศาลเพื่อขอให้ออกหมายขังและศาลมีคำสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว ซึ่งส่งผลให้บุคคลดังกล่าวจะต้องถูกส่งตัวไปฝากขังที่เรือนจำ และมีกรณีที่ศาลไม่ให้ประกันตัวด้วยเหตุผลที่ว่า พฤติการณ์ในการกระทำความผิดครั้งหลังนั้นเป็นการผิดเงื่อนไขในการปล่อยชั่วคราวในคดีเดิม หรือกรณีที่ศาลให้เหตุผลไว้ว่าอาจมีการกระทำความผิดซ้ำ นอกจากนี้ ยังมีผู้ถูกคุมขังที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวด้วยเหตุผลที่มีลักษณะเป็นการเฉพาะตัวและแตกต่างไปจากกรณีอื่น เช่น กรณีของบุคคลต่างด้าวซึ่งศาลไม่ให้ประกันตัวเนื่องจากไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนจึงเกรงว่าจะหลบหนี และกรณีเยาวชนอายุ 16 ปีซึ่งศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเนื่องจากไม่มีญาติเดินทางมารับรองการประกันตัว พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในบางกรณีนั้น ถึงแม้ว่าการมีคำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราวจะเป็นกรณีการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงประกอบกับข้อกฎหมายตามอำนาจหน้าที่ของศาล แต่การสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวดังกล่าว ควรคำนึงถึงและให้ความสำคัญแก่หลักการให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด และหลักการที่ว่า ทุกคนพึงมีสิทธิได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี ตามที่รัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองได้ให้การรับรองและคุ้มครองไว้ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย ทั้งนี้เพื่อให้การใช้ดุลยพินิจดังกล่าวอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน 2.ความเห็นต่อการใช้เสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนจากการตรวจสอบพบว่า การชุมนุมทางการเมืองในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2564 อยู่ในช่วงเวลาการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยส่วนใหญ่เป็นการชุมนุมเพื่อประท้วงรัฐบาล ที่สำคัญในห้วงเวลาดังกล่าวสามารถแยกพิจารณาได้ 3 รูปแบบ คือ 1) รูปแบบของการชุมนุมที่เป็นการประท้วง การเดินขบวนประท้วง และการชุมนุมแบบแฟลชม็อบ 2) รูปแบบของการชุมนุมที่เป็นการขับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ประท้วง ซึ่งเรียกว่ากิจกรรม “คาร์ม็อบ” (Car Mob) และ “ไบก์ม็อบ” (Bike Mob) และ 3) รูปแบบของการชุมนุมที่ไม่มีกลุ่มหรือแกนนำขับเคลื่อนการชุมนุมอย่างชัดเจน พิจารณาแล้วเห็นว่า ถึงแม้การชุมนุมทางการเมืองจะอยู่ในช่วงเวลาการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยมีการออกข้อกำหนดห้ามการรวมกลุ่มของบุคคลเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อันถือเป็นข้อจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธได้ตามกฎหมาย แต่การพิจารณาจำกัดเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธควรพิจารณาอย่างเคร่งครัด ซึ่งสามารถพิจารณาได้เป็นรายกรณีไป ตามหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน จึงเห็นว่า การชุมนุมในรูปแบบกิจกรรม “คาร์ม็อบ” (Car Mob) และไบก์ม็อบ (Bike Mob) เพื่อมีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก โดยผู้ชุมนุมขับขี่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางต่าง ๆ ลักษณะการชุมนุมนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายของผู้จัดการชุมนุม รวมทั้งผู้ชุมนุมในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกทั้งไม่ปรากฏเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงของผู้ชุมนุมในลักษณะที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและร่างกายของบุคคลอื่น หรือทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เนื่องจากเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นภายหลังผู้จัดการชุมนุมได้ประกาศยุติการชุมนุมไปแล้ว หรือการใช้ความรุนแรงเชื่อได้ว่า เกิดขึ้นจากมวลชนที่ไม่อยู่ในภายใต้เงื่อนไขการชุมนุม ซึ่งผู้จัดการชุมนุมได้มีความพยายามในการห้ามปรามแล้ว ส่วนการชุมนุมที่เป็นการประท้วง การเดินขบวนประท้วง และการชุมนุมแบบแฟลชม็อบนั้น การชุมนุมลักษณะนี้โดยทั่วไปยังคงเป็นการชุมนุมที่ไม่มีจุดประสงค์ในการใช้ความรุนแรง เพื่อแสดงออกถึงจุดประสงค์ทางการเมืองในการเสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อถึงรัฐบาล แม้ไม่มีการวางมาตรการเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่ผู้ชุมนุมอาจป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้ด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยของตนเอง อีกทั้งตามข้อคิดเห็นทั่วไป ฉบับที่ 37 (General Comment No. 37 on the right of peaceful assembly) เกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Human Rights Committee) ได้ระบุหลักการไว้ว่า การชุมนุมที่มีแต่เพียงการผลักหรือดันกัน หรือการขัดขวางการเคลื่อนที่ของยานพาหนะของผู้คน หรือการขัดขวางการทำกิจวัตรประจำวันไม่ถือว่าเป็นความรุนแรง จึงเห็นว่า การชุมนุมทั้งสองรูปแบบนี้ถือเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่า การชุมนุมประท้วงเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ปรากฏว่า ผู้ชุมนุมบางส่วนมีการทุบ เตะ ถีบไปที่โล่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ชุมนุมซึ่งสวมใส่หมวกกันน็อกคนหนึ่งได้ใช้ก้อนอิฐทุบเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบ การกระทำลักษณะดังกล่าวถือเป็นการใช้ความรุนแรงอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวมิได้สวมใส่เครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่จับกุมจนทำให้เกิดเหตุดังกล่าว สำหรับรูปแบบของการชุมนุมที่ไม่มีกลุ่มหรือแกนนำขับเคลื่อนการชุมนุมอย่างชัดเจน การชุมนุมภายหลังจากที่มีการประกาศยุติการชุมนุมไปแล้ว รวมทั้งการชุมนุมภายหลังล่วงเลยกำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหสถานตามข้อกำหนดออกตามความในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งเป็นมวลชนที่ใช้แนวทางการใช้กำลังและสิ่งเทียมอาวุธ เช่น ระเบิดปิงปอง วัตถุติดไฟ (ระเบิดเพลิง) หรือตอบโต้ด้วยการขว้างปาสิ่งของดังกล่าว ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น อาจทำให้เกิดอันตรายต่ข่าว กีฬา t sportอชีวิตและร่างกายของเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนที่เข้าไปอยู่ในพื้นที่การชุมนุม รวมทั้งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของราชการและของผู้อาศัยในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่การชุมนุมด้วย แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการการใช้กำลังเข้าควบคุมการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากต้องเป็นไปตามกฎหมายแล้ว ยังต้องคำนึงถึงหลักความเหมาะสมและความได้สัดส่วนเพื่อให้สิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุมได้รับผลกระทบน้อยที่สุดด้วย โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายและการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่มาชุมนุม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ตามหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน และคำนึงถึงความเหมาะสมและประโยชน์สูงสุดของเด็ก รวมทั้งควรมีมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนโดยใช้วิธีการเปิดพื้นที่พูดคุยและเจรจาเพื่อรับฟังปัญหาของเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ 3.ความเห็นต่อผลกระทบและการเยียวยาความเสียหายจากการตรวจสอบพบว่า ผลกระทบจากการชุมนุมและสลายการชุมนุมก่อให้เกิดการเสียชีวิต การสูญเสียอวัยวะ และการบาดเจ็บทางร่างกายและสภาพจิตใจของทั้งฝ่ายผู้ชุมนุม ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้พักอาศัยใกล้จุดปะทะ รวมทั้งผู้เดินทางผ่านพื้นที่ชุมนุม พิจารณาแล้วเห็นว่า ระบบการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายหรือระเบียบรองรับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองเป็นการเฉพาะที่ชัดเจน ในอดีตหลายครั้งใช้การดำเนินการโดยมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการเยียวยาที่แตกต่างกัน แม้จะมีการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 และวันที่ 13 มิถุนายน 2560 ที่ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำกฎหมายหรือระเบียบ เงื่อนไขและวิธีการช่วยเหลือเยียวยาที่ครอบคลุมทุกกรณี แต่ปัจจุบันยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม มีผลให้ประเทศไทยยังคงไม่มีกฎหมายหรือระเบียบที่เป็นแนวปฏิบัติหรือมาตรฐานกลางในการพิจารณาช่วยเหลือเยียวยาทุกกรณี ซึ่งรวมถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และแม้ปัจจุบันมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาหลายฉบับซึ่งบางกรณีอาจครอบคลุมที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองได้ แต่ยังพบปัญหาความไม่สะดวกในการเข้าถึงการเยียวยาทั้งในมิติกฎหมาย มิติการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และกลไกการเยียวยาที่มีอยู่ ซึ่งมีผลให้ประชาชนเสียสิทธิในการได้รับการเยียวยาหรือช่วยเหลือจากรัฐได้ จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายในประเด็นนี้ 4.ความเห็นต่อกรณีการคุ้มครองเด็กในสถานการณ์การชุมนุมผลจากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีการแยกแยะกลุ่มเด็กออกจากกลุ่มผู้ใหญ่ในการชุมนุม รวมทั้งไม่ปฏิบัติต่อเด็กด้วยวิธีการที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ ทั้งในเรื่องการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุม และปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในเบื้องต้น โดยจัดประชุมเพื่อแสวงหาทางออกและจัดทำข้อเสนอแนะ กรณีสิทธิเด็กในสถานการณ์ชุมนุม (กรณีสามเหลี่ยมดินแดง) เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 และได้มีข้อเสนอแนะในการแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิเด็ก รวมถึงการปกป้อง คุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของเด็กในสถานการณ์การชุมนุม (กรณีสามเหลี่ยมดินแดง) ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามหนังสือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ สม 0004/2353 – 2355 ลงวันที่ 10 กันยายน 2564 พร้อมทั้งจัดประชุมติดตามผลความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งปรากฏผลว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 4.ข้อสรุป1.ข้อเสนอแนะมาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องดำเนินการ ดังนี้1) งดเว้นการใช้ลวดหีบเพลงแถบหนามเป็นเครื่องมือควบคุมฝูงชน และพิจารณาปรับปรุงแก้ไขประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง เครื่องมือควบคุมฝูงชนในการชุมนุมสาธารณะ ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 2) กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้หลีกเลี่ยงการใช้กำลังในการรักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุมโดยเคร่งครัด และต้องไม่กระทำการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการสร้างเงื่อนไขหรืออาจเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดความตึงเครียดโดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจนำไปสู่การไม่ให้ความร่วมมือ การตอบโต้ หรือแม้กระทั่งการทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุม 3) ปรับปรุงวิธีปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนในการใช้กำลังและการใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายและหลักสากล ทั้งนี้ ควรมีการกำกับดูแลควบคุมและสั่งการตามลำดับชั้นบังคับบัญชา รวมทั้งต้องกำชับให้ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการใช้กำลังเข้าจับกุมผู้ชุมนุมต้องเหมาะสมและพอสมควรแก่เหตุกับพฤติการณ์ของผู้ถูกจับกุม และให้ปฏิบัติต่อผู้ถูกจับกุมซึ่งเป็นเด็กและเยาวชนอย่างเหมาะสม ตลอดจนระมัดระวังเพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับผลกระทบ 4) เร่งรัดดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อนำตัวบุคคลผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายทุกกรณี รวมทั้งหากการกระทำความผิดเช่นว่านั้นก่อให้เกิดความเสียหายประการใด จะต้องเร่งดำเนินการเยียวยาความเสียหายดังกล่าวตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป 5) งดเว้นการใช้เครื่องพันธนาการในการจับกุมเด็กและเยาวชนทั้งในขณะที่จับกุมและระหว่างควบคุมตัว 6) ห้ามนำตัวเด็กไปไว้ในห้องคุมขัง ในกรณีที่จำเป็นต้องกำหนดสถานที่ควบคุมตัวเด็กและเยาวชนเป็นการเฉพาะ ในลักษณะที่ไม่ใช่การกักขังในห้องคุมขัง โดยต้องแยกพื้นที่ควบคุมตัวเด็กและเยาวชนต่างหากจากผู้ใหญ่ เช่น สถานฝึกอบรม สถานบำบัดฟื้นฟู หรือสถานที่อื่นที่เหมาะสม ทั้งนี้ เมื่อมีการควบคุมตัวเด็กและเยาวชน เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเปิดเผยสถานที่แห่งนั้นให้สาธารณชนทราบโดยทันที โดยพิจารณาภายใต้หลักประโยชน์สูงสุดของเด็กและเยาวชน 7) เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการหรือจัดให้ผู้ถูกจับกุมทุกคนได้รับสิทธิที่พึงมีตามกระบวนการยุติธรรม และควรหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ อันเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิของผู้ถูกจับกุมในการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย เช่น การไม่อนุญาตให้ทนายความเข้าพบในทันที การจำกัดการเข้าเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติ รวมถึงการยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่หรืออุปกรณ์ติดต่อสื่อสารของผู้ถูกจับกุม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับรายงานฉบับนี้ 2.ข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน 2.1 ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ ดังนี้1) หลีกเลี่ยงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในการควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการใช้พระราชกำหนดดังกล่าวเป็นไปเพื่อป้องกันภัยร้ายแรงที่กระทบต่อความมั่นคง ไม่อาจนำไปใช้ในการชุมนุมทางการเมืองในลักษณะทั่วไปได้ เพราะอาจก่อให้เกิดการจำกัดหรือลดทอนการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เว้นแต่การชุมนุมนั้นได้แปรเปลี่ยนไปสู่สถานการณ์วิกฤต หรือการจลาจลที่กระทบต่อความมั่นคง 2) เร่งรัดการจัดทำกฎหมายหรือระเบียบกลางที่กำหนดเงื่อนไขและวิธีการในการช่วยเหลือเยียวยาที่ครอบคลุมทุกกรณี โดยมอบหมายกระทรวงยุติธรรม โดยสำนักกิจการยุติธรรม เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาศึกษาและจัดทำกฎหมายดังกล่าว 2.2 ให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ให้ครอบคลุมการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง โดยให้คณะกรรมการกองทุนยุติธรรมพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ขอรับความช่วยเหลือจากการกระทำละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเป็นผู้มีสิทธิขอรับความช่วยเหลือ ตามข้อ 9 (5) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในระหว่างการจัดทำกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขและวิธีการ ช่วยเหลือเยียวยาที่ครอบคลุมทุกกรณียังไม่แล้วเสร็จ 2.3 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ ดังนี้1) กำหนดแนวทางปฏิบัติให้การควบคุมและจัดการการชุมนุมควรต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบ และหลีกเลี่ยงการใช้เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบมาเป็นผู้ควบคุมหรือจัดการการชุมนุม 2) กำชับให้เจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายตามกระบวนการยุติธรรมปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกจับและผู้ต้องหาอย่างเคร่งครัด ทั้งการแจ้งสิทธิและให้สิทธิแก่ผู้ถูกจับและผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 3) กำชับแนวทางปฏิบัติต่อการดำเนินคดีกับแกนนำหรือผู้ชุมนุมอันสืบเนื่องมาจากการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงออกทางการเมือง โดยให้ดำเนินการอย่างระมัดระวังซึ่งต้องคำนึงถึงความได้สัดส่วนและความจำเป็นตามแต่ละกรณี โดยควรหลีกเลี่ยงการตั้งข้อหาหรือฐานความผิดที่เป็นการจำกัดหรือสร้างภาระแก่ผู้ใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวเกินสมควรแก่เหตุ 4) ประชาสัมพันธ์หรือเปิดช่องทางให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถยื่นคำขอให้มีการเยียวยาและชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ 2.4 ให้ศาลยุติธรรมพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจเกี่ยวกับการพิจารณาปล่อยชั่วคราว โดยยึดหลักการให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด และหลักการที่ว่า ทุกคนพึงมีสิทธิได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี ตามที่รัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองได้ให้การรับรองและคุ้มครองไว้ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย อีกทั้ง ควรพิจารณามาตรการอื่นแทนการคุมขัง เช่น การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring: EM) 3.ข้อเสนอแนะต่อการจัดการชุมนุมการจัดการชุมนุมต้องเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธและสิ่งเทียมอาวุธ โดยต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ทั้งสิทธิของบุคคลอื่นและความรับผิดชอบต่อผู้เข้าร่วมการชุมนุม ต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากอันตรายจากการชุมนุมทางการเมือง และการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเหตุอื่นใด โดยเฉพาะการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่เด็กและเยาวชน รวมทั้งควรมีช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้จัดการชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้การชุมนุมเป็นไปตามหลักสากล
วันนี้ (24 ธ.ค.2564) เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดย นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ แล
สืบเนื่องจากกรณีมีผู้สูงอายุได้รับความเดือดร้อนจากการเรียกคืนเบี้ยยังชีพคนชราที่จ่ายโดยกรมบัญชีกลาง
เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2565 เจ้าหน้าที่เร่งนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลศรีสังวาลย์ เพื่อทำการรักษา หลังประสบ
วันนี้ (24 ธ.ค.2564) เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดย นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และ ผศ.สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยนายพิทยา จินาวัฒน์ และนายบุญเกื้อ สมนึก ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สำคัญประจำปี 2564 กรณีการชุมนุมทางการเมืองระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 ซึ่ง กสม. มีมติในคราวการประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 53/2564 (28) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 เห็นชอบรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าว โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ ตามที่ กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนอันเกี่ยวเนื่องกับกรณีการชุมนุมทางการเมืองในระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 หลายคำร้อง ประกอบกับพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุการณ์การชุมนุมเมื่อวันที่ 16 และ 18 ก.ค.2564 รวมทั้งเมื่อวันที่ 1 และ 7 ส.ค.2564 อาจมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงได้มีมติให้ตรวจสอบและตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ โดยได้รับฟังข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย ทั้งจากกลุ่มผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (เจ้าหน้าที่ คฝ.) หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง สื่อมวลชน ผู้พักอาศัยบริเวณรอบพื้นที่การชุมนุม และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งจัดให้มีเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้ง และการคุ้มครองสิทธิเด็กในสถานการณ์การชุมนุม ร่วมกับตัวแทนผู้ชุมนุม หน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคประชาสังคมด้านสิทธิมนุษยชน นักวิชาการด้านสันติวิธี และนักจิตวิทยาเด็ก นอกจากนี้ยังได้เฝ้าระวังสถานการณ์ และลงพื้นที่สังเกตการณ์การชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนลงพื้นที่ไปติดตามการจับกุมผู้ถูกจับกุมเพื่อตรวจสอบและประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนด้วย จากการตรวจสอบ พบว่า การชุมนุมทางการเมืองในระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 เป็นการรวมตัวของประชาชนที่ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา นักกิจกรรมทางการเมือง เพื่อแสดงความเห็นและมีข้อเรียกร้องปฏิรูปทางการเมืองควบคู่กับข้อเรียกร้องต่อมาตรการของรัฐบาล ในการบริหารจัดการสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด-19) โดยมีรูปแบบการชุมนุมที่สำคัญ 3 รูปแบบ คือ (1) การชุมนุมที่เป็นการประท้วง การเดินขบวนประท้วง และการชุมนุมแบบแฟลชม็อบ (2) การชุมนุมในรูปแบบกิจกรรม “คาร์ม็อบ (Car Mob) และ “ไบก์ม็อบ” (Bike Mob) และ (3) การชุมนุมที่ไม่มีกลุ่มหรือแกนนำขับเคลื่อนการชุมนุมอย่างชัดเจน โดยการตรวจสอบมีประเด็นที่ กสม. ได้พิจารณาและมีความเห็น ดังนี้ 1.การใช้อำนาจรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุม พิจารณาว่ามีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ พบว่า การบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548) เพื่อจัดการและควบคุมการชุมนุมของรัฐบาล มีแนวโน้มเป็นการห้ามการชุมนุมแบบเหมารวมและห้ามชุมนุมโดยเด็ดขาด และไม่ได้สัดส่วนระหว่างเสรีภาพในการชุมนุม กับความปลอดภัยสาธารณะ (การป้องกันภัยทางสาธารณสุข) นอกจากนี้ ยังมีการจับกุมผู้ที่มาชุมนุมและดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 และกฎหมายอื่น ซึ่งถือเป็นการสร้างความหวาดกลัวต่อการใช้เสรีภาพในการชุมนุม จึงมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ชุมนุม ส่วนการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุม พบว่า หลายกรณี เจ้าหน้าที่ คฝ. ได้ใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนด้วยวิธีการไม่เหมาะสม เช่น ใช้กระบองในลักษณะที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรง ยิงกระสุนยางในแนวสูงระดับศีรษะ หรือ ยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปตกในที่พักอาศัยของประชาชน อันเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามหลักปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนตามแผนการดูแลการชุมนุมสาธารณะ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2558 และไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำในการบังคับใช้กฎหมาย (United Nations Human Rights Guidance on Less-Lethal Weapons in Law Enforcement) ขณะที่การใช้กำลังจับกุมผู้ชุมนุมนั้น หลายกรณีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บจากการเข้าจับกุมของเจ้าหน้าที่ เช่น การใช้กระสุนยางยิงสกัดการหลบหนี การขับรถยนต์ตัดหน้าเฉี่ยวชนหรือถีบรถจักรยานยนต์จนล้มลง ซึ่ง กสม. เห็นว่า แม้ผู้ที่ถูกจับกุมจะมีการใช้ความรุนแรงในการแสดงออกร่วมอยู่ แต่ไม่มีเหตุจำเป็นที่เจ้าหน้าที่จะต้องใช้วิธีการรุนแรงโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมาโดยเฉพาะการเข้าจับกุมเด็กและเยาวชน จึงเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และไม่ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ของผู้ถูกจับกุม อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน สำหรับการดำเนินการตามกระบวนยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พบว่า มีการใช้เครื่องพันธนาการในการจับกุมเด็กและเยาวชน ซึ่งขณะที่ถูกจับกุมในบางกรณีเยาวชนไม่มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนีหรือต่อสู้ขัดขวาง แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใส่สายรัดข้อมือ (Cable Tie) เป็นเครื่องพันธนาการ และยังปรากฏกรณีเยาวชนถูกควบคุมตัวร่วมกับผู้ต้องหาผู้ใหญ่ โดยไม่มีการแยกให้อยู่ในสถานที่พิเศษเป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ยังพบว่า มีผู้ถูกจับกุมถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจซึ่งไม่ใช่ที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับหรือที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เช่น ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จังหวัดปทุมธานี (ตชด. ภาค 1) ส่งผลให้ทนายความไม่สามารถเข้าพบผู้ต้องหา เพื่อให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายได้ในทันที ในประเด็นการปล่อยชั่วคราว ซึ่งมีทั้งกลุ่มผู้ถูกจับและควบคุมตัวที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยไม่ต้องมีประกันและมีประกัน และมีกรณีที่ศาลไม่ให้ประกันตัวด้วยเหตุผลพฤติการณ์ในการกระทำความผิดครั้งหลัง ผิดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราว หรืออาจมีการกระทำผิดซ้ำ กสม. เห็นว่า กรณีนี้แม้จะเป็นการใช้ดุลพินิจตามอำนาจหน้าที่ของศาล แต่การพิจารณาให้ปล่อยชั่วคราวควรยึดหลักที่ว่าทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราวนั้นต้องเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรตามที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.อาญา. เท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งรับรองสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด และสิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี 2.ความเห็นต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน แม้การชุมนุมทางการเมืองในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 จะอยู่ในช่วงเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน 2548 เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แต่การชุมนุมในรูปแบบกิจกรรม “คาร์ม็อบ” (Car Mob) และไบก์ม็อบ (Bike Mob) ซึ่งเป็นการขับขี่ยานพาหนะไปตามเส้นทางต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค การเดินขบวนประท้วง และการชุมนุมแบบแฟลชม็อบ ซึ่งโดยทั่วไปเป็นการชุมนุมเพื่อแสดงออกทางการเมืองและไม่มีจุดประสงค์ในการใช้ความรุนแรง การชุมนุมทั้งสองรูปแบบนี้จึงถือเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี รูปแบบการชุมนุมที่ไม่มีกลุ่มหรือแกนนำขับเคลื่อนอย่างชัดเจน โดยที่กลุ่มผู้ชุมนุมใช้สิ่งเทียมอาวุธตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถือเป็นการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงและมิใช่การชุมนุมโดยสงบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ใช้มาตรการบังคับทางกฎหมายได้ แต่ต้องคำนึงถึงหลักความเหมาะสมและได้สัดส่วน โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชน 3.ความเห็นต่อผลกระทบและการเยียวยาความเสียหายจากสถานการณ์การชุมนุม เห็นว่า ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายหรือระเบียบรองรับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองเป็นการเฉพาะ แม้มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 และวันที่ 13 มิถุนายน 2560 จะกำหนดให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำกฎหมายหรือระเบียบ เงื่อนไขและวิธีการช่วยเหลือเยียวยาที่ครอบคลุมทุกกรณี แต่ปัจจุบันยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จและยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายในประเด็นนี้ 4.ความเห็นต่อกรณีการคุ้มครองเด็กในสถานการณ์การชุมนุม พบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีการแยกแยะกลุ่มเด็กออกจากกลุ่มผู้ใหญ่ในการชุมนุม รวมทั้งไม่ปฏิบัติต่อเด็กด้วยวิธีการที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ ทั้งในเรื่องการใช้กำลังในการควบคุมดูแลการชุมนุม และปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม ซึ่ง กสม.ได้มีข้อเสนอแนะเพื่อคุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของเด็กในสถานการณ์การชุมนุม (กรณีสามเหลี่ยมดินแดง) ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อเดือนกันยายน 2564 ซึ่งหน่วยงานเห็นชอบต่อข้อเสนอแนะของ กสม. จากผลการตรวจสอบและความเห็นข้างต้น กสม. จึงมีข้อเสนอแนะไปยังคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สรุปได้ดังนี้ รวมทั้งต้องจัดให้ผู้ถูกจับกุมทุกคนได้รับสิทธิที่พึงมีตามกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนหลีกเลี่ยงการกระทำ อันเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิของผู้ถูกจับกุมในการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้คณะรัฐมนตรีหลีกเลี่ยงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 เป็นไปเพื่อป้องกันภัยร้ายแรงที่กระทบต่อความมั่นคง ไม่อาจนำไปใช้ในการชุมนุมทางการเมืองทั่วไป และควรมอบหมายกระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการจัดทำกฎหมายหรือระเบียบกลางในการช่วยเหลือเยียวยา ที่ครอบคลุมทุกกรณี รวมทั้งกรณีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองโดยเร็ว ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรกำหนดแนวทางปฏิบัติให้การควบคุมการชุมนุมกระทำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบ โดยการจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมต้องให้การคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกจับและผู้ต้องหาอย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการตั้งข้อหาที่เป็นการจำกัดหรือสร้างภาระแก่ผู้ใช้สิทธิและเสรีภาพเกินสมควรแก่เหตุ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ศาลยุติธรรมพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจเกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราว ให้สอดคล้องกับหลักการที่รัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองให้การรับรองและคุ้มครอง และควรพิจารณามาตรการอื่นแทนการคุมขังด้วย พร้อมกันนี้ กสม. มีข้อเสนอแนะต่อการจัดการชุมนุม ซึ่งต้องเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธและสิ่งเทียมอาวุธ โดยต้องคำนึงถึงสิทธิและความปลอดภัยของบุคคลอื่นรวมถึงความรับผิดชอบต่อผู้เข้าร่วมการชุมนุม ต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากอันตรายในการชุมนุม และการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และเหตุอื่น โดยเฉพาะการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่เด็กและเยาวชน รวมทั้งควรมีช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้จัดการชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้การชุมนุมเป็นไปตามหลักสากล รายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่องเสรีภาพในการชุมนุม อันเกี่ยวเนื่องกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิเด็ก สิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว และเสรีภาพในการเดินทาง กรณีการชุมนุมทางการเมืองในระหว่างเดือนกรกฎาคม - กันยายน 2564 1.ความเป็นมาจากการประมวลสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 และ 18 กรกฎาคม 2564 รวมทั้งเมื่อวันที่ 1 และ 7 สิงหาคม 2564 อาจมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงมีมติเห็นสมควรให้มีการตรวจสอบ ตามคำร้องที่ 147/2564 คำร้องที่ 154/2564 และคำร้องที่ 155/2564 นอกจากนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองในระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564 ดังนี้ (1) คำร้องที่กล่าวอ้างว่า รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งผู้ร้องเรียนเห็นว่า การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมและสลายการชุมนุม การจับกุมแกนนำและผู้ชุมนุม รวมทั้งการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบในการแทรกแซงและจำกัดเสรีภาพในการชุมนุม จึงขอให้ตรวจสอบ จำนวน 7 คำร้อง ได้แก่ คำร้องที่ 151/2564 คำร้องที่ 158/2564 คำร้องที่ 166/2564 คำร้องที่ 182/2564 คำร้องที่ 186/2564 และคำร้องที่ 206 – 207/2564 (2) คำร้องที่กล่าวอ้างว่า กลุ่มผู้ชุมนุมกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากกรณีการชุมนุมคาร์ม็อบ (Car Mob) ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 7 และ 15 สิงหาคม 2564 ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จึงขอให้ตรวจสอบ ตามคำร้องที่ 167/2564 (3) คำร้องที่ขอให้ประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเพื่อเยียวยาความเสียหาย ตามคำร้องที่ 164/2564 2.ประเด็นการตรวจสอบกรณีมีปัญหาที่ต้องพิจารณา 4 ประเด็น ดังนี้1. การใช้อำนาจรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุม1.1 การจัดการและการควบคุมดูแลการชุมนุมของรัฐมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่1.2 การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุมมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่1) การใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนต่อผู้ชุมนุม2) การใช้กำลังจับกุมผู้ชุมนุม1.3 การดำเนินการตามกระบวนยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่1) การใช้เครื่องพันธนาการและการควบคุมตัว2) การแจ้งสิทธิหรือให้สิทธิแก่ผู้ถูกจับกุมหรือผู้ต้องหา3) ข้อกล่าวหาและฐานความผิด4) การปล่อยชั่วคราว 2.ความเห็นต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน3.ความเห็นต่อผลกระทบและการเยียวยาความเสียหาย4.ความเห็นต่อกรณีการคุ้มครองเด็กในสถานการณ์การชุมนุม 3.ผลการพิจารณา1.การใช้อำนาจรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุม1.1 การจัดการและการควบคุมดูแลการชุมนุมของรัฐมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดการและการควบคุมดูแลการชุมนุมของรัฐ โดยการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มีแนวโน้มที่เป็นการห้ามการชุมนุมแบบเหมารวม และห้ามชุมนุมโดยเด็ดขาด ไม่ได้สัดส่วนระหว่างเสรีภาพในการชุมนุม กับความปลอดภัยสาธารณะ (การป้องกันภัยทางสาธารณสุข) ดังจะเห็นได้จากการประกาศแจ้งให้ผู้ชุมนุมทราบว่า การชุมนุมเป็นความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และการนำสิ่งกีดขวางทางกายภาพ เช่น ตู้คอนเทนเนอร์ แผงเหล็ก และโดยเฉพาะการนำลวดหีบเพลงแถบหนามซึ่งเป็นวัตถุที่มีความอันตรายอาจทำให้เกิดการได้รับบาดเจ็บได้ มาวางปิดกั้นเส้นทางของผู้ชุมนุมตั้งแต่ก่อนจะถึงเวลานัดหมายการชุมนุม และเป็นการวางในระยะที่ห่างไกลกับสถานที่ซึ่งเป็นเป้าหมายของผู้ชุมนุม ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจในบริเวณที่มีการวางสิ่งกีดขวางจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนั้นยังมีการจับกุมผู้ที่มาชุมนุมในเวลาต่อมาและดำเนินคดีในความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และกฎหมายอื่น ถือเป็นการสร้างความหวาดกลัวต่อการใช้เสรีภาพในการชุมนุม กรณีจึงมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องต่อข้อคิดเห็นทั่วไป ฉบับที่ 37 (General Comment No.37 on the right of peaceful assembly) เกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Human Rights Committee) 1.2 การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุมมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ 1) การใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนต่อผู้ชุมนุมจากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนในหลายเหตุการณ์ที่เกิดการปะทะกัน สามารถสรุปการใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนแต่ละประเภทในภาพรวมได้ ดังนี้1.1) การใช้กระบองข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนมีการแจ้งเตือนก่อนการใช้กระบองกับผู้ชุมนุม อีกทั้งมีการใช้กระบองในลักษณะที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงหลายครั้ง1.2) การใช้รถควบคุมฝูงชนฉีดน้ำแรงดันสูงข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการผสมแก๊สน้ำตาและสารเคมีสีม่วงในน้ำหลายครั้ง ส่วนใหญ่ประกาศแจ้งเตือนว่าจะมีการฉีดน้ำ แต่บางครั้งก็ไม่ได้มีการแจ้งเตือนก่อน หรือบางกรณีการประกาศแจ้งเตือนมีเสียงที่เบามากทำให้ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ได้ยินการแจ้งเตือน ในหลายครั้งพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ฉีดน้ำไปทางสื่อมวลชนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่และผู้ชุมนุมที่ไม่ได้ก่อความรุนแรง อีกทั้งยังพบว่ามีการฉีดน้ำจากทางยกระดับลงมาใส่ผู้ชุมนุมที่อยู่ด้านล่างด้วย และพบว่ามีผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมได้รับผลกระทบจากกลิ่นควันของแก๊สน้ำตา ซึ่งมีเด็กเล็กรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังพบว่ามีการยิงแก๊สน้ำตาในระดับขนานกับพื้น โดยไม่ใช่การยิงด้วยมุมสูง 1.4) การใช้กระสุนยางข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลายครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แจ้งเตือนผู้ชุมนุมให้ทราบก่อน บางกรณีมีการแจ้งเตือนเพียงแค่ครั้งแรก แต่หลังจากนั้นไม่ได้แจ้งเตือนอีก ทั้งยังพบว่ามีการยิงกระสุนยางในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรง ได้แก่ การยิงในแนวสูงระดับศีรษะ การยิงจากบนรถกระบะขณะเคลื่อนที่จับกุม การยิงจากบริเวณที่สูงลงมา การยิงในระยะประชิด การยิงใส่ผู้ชุมนุมที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีอาวุธหรือเป็นผู้ก่อความรุนแรง รวมถึงการระดมยิงโดยไม่แยกแยะและไม่เลือกเป้าหมายว่าผู้ที่อยู่ในแนววิถีการยิงเป็นผู้ที่ก่อความรุนแรงหรือไม่ ซึ่งส่งผลให้มีผู้ชุมนุมที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงหรือผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องได้รับบาดเจ็บ ทั้งการบาดเจ็บเล็กน้อยและการบาดเจ็บที่รุนแรงโดยเฉพาะบริเวณศีรษะและดวงตา นอกจากนี้ยังพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยิงกระสุนยางเข้าไปในบริเวณอาคารที่พักอาศัยของประชาชนด้วย โดยสรุปแล้วเห็นว่า การใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนในลักษณะดังกล่าวข้างต้นเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามหลักปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนตามแผนการดูแลการชุมนุมสาธารณะ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2558 และไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำในการบังคับใช้กฎหมาย (United Nations Human Rights Guidance on Less-Lethal Weapons in Law Enforcement) กรณีจึงมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน 2) การใช้กำลังจับกุมผู้ชุมนุมจากการตรวจสอบพบว่า ในระยะหลัง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าทำการจับกุมผู้ชุมนุมมักจะใช้ “ชุดเคลื่อนที่เร็ว” เข้ารุกไล่จับกุม ซึ่งในหลายกรณีปรากฏว่า ผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมมักจะได้รับบาดเจ็บจากการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กระสุนยางยิงสกัดการหลบหนี อีกทั้งยังพบว่ามีการผลักรถจักรยานยนต์ให้ล้มก่อนเข้าจับกุม หรือการขว้างโล่และใช้เท้าถีบไปที่รถจักรยานยนต์ของผู้ชุมนุมที่กำลังขับรวมกลุ่มกันจนล้มระเนระนา พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ผู้ที่ถูกจับกุมจะมีการใช้ความรุนแรงในการแสดงออกร่วมอยู่ด้วย แต่ก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้วิธีการเข้าจับกุมโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมา ทั้งผู้ถูกจับกุมส่วนหนึ่งยังเป็นเยาวชน บางรายมีอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ การใช้กำลังจับกุมดังกล่าวนั้น จึงเป็นไปโดยไม่เหมาะสมและไม่ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ของผู้ถูกจับกุม กรณีจึงมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน 1.3 การดำเนินการตามกระบวนยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ 1) การใช้เครื่องพันธนาการและการควบคุมตัว1.1) จากการตรวจสอบพบว่า มีการใช้เครื่องพันธนาการในการจับกุมเด็กและเยาวชน ซึ่งขณะที่ถูกจับกุมในบางกรณีนั้น ผู้ต้องหาได้แจ้งว่าเป็นเยาวชน หรือไม่ได้มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนีหรือต่อสู้ขัดขวาง แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใส่สายรัดข้อมือ (Cable Tie) เป็นเครื่องพันธนาการ 1.2) จากการตรวจสอบพบว่า มีกรณีเยาวชนถูกควบคุมตัวโดยไม่มีการแยกให้อยู่ในสถานที่พิเศษเป็นการเฉพาะ อีกทั้งบางกรณีมีการนำตัวผู้ถูกจับกุมซึ่งเป็นเยาวชนไปควบคุมตัวไว้ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ร่วมกับผู้ต้องหาที่เป็นผู้ใหญ่ โดยไม่มีการแยกพื้นที่ควบคุมตัวอย่างเป็นสัดส่วน พิจารณาแล้วเห็นว่า การควบคุมตัวเยาวชนในสถานที่และลักษณะดังกล่าวเป็นไปโดยไม่เหมาะสมและไม่ได้คำนึงถึงสภาวะของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ กรณีจึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อเยาวชนที่ถูกควบคุมตัว 1.3) จากการตรวจสอบประเด็นเรื่องระยะเวลาการควบคุมตัวเด็กหรือเยาวชนนั้น ยังไม่ปรากฏว่ามีการควบคุมตัวเด็กหรือเยาวชนไว้เกินกว่าระยะเวลาตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดแต่อย่างใด 1.4) จากการตรวจสอบประเด็นสถานที่ควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมนั้น พบว่ามีผู้ถูกจับกุมถูกนำตัวไปควบคุมและสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จังหวัดปทุมธานี และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด รวมถึงสถานีตำรวจซึ่งไม่ใช่ที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับหรือที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ พิจารณาแล้วเห็นว่า การควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมไว้ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จังหวัดปทุมธานี รวมถึงสถานที่อื่นซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่เกิดเหตุหรือที่ถูกจับ ส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้ถูกจับหลายประการ ทั้งการที่ทนายความไม่สามารถเข้าพบผู้ต้องหาได้ในทันที ทำให้การให้ช่วยเหลือทางกฎหมายเป็นไปอย่างล่าช้า อีกทั้งในบางกรณีมีการยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ถูกจับและไม่อนุญาตให้ทนายความนำโทรศัพท์เข้าไปได้ ทำให้กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของทนายความเพื่อให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย รวมทั้งยังมีการจำกัดการเข้าเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติ 2) การแจ้งสิทธิหรือให้สิทธิแก่ผู้ถูกจับกุมหรือผู้ต้องหาจากการตรวจสอบพบว่า การดำเนินคดีบางกรณีในระหว่างการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาและไม่ได้แจ้งสิทธิของผู้ถูกจับกุม ไม่ยินยอมให้ติดต่อญาติหรือผู้ไว้วางใจเพื่อแจ้งให้ทราบถึงสถานที่ที่ถูกจับ นอกจากนี้ เมื่อขั้นตอนและกระบวนการในลักษณะดังกล่าวไม่มีทนายความเข้าร่วมด้วย อาจมีความสุ่มเสี่ยงที่ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาอาจถูกละเมิดสิทธิในรูปแบบต่าง ๆ อีก เช่น การถูกยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือถูกบังคับให้ลงลายมือชื่อในเอกสาร กรณีนี้จึงเห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ควรจะต้องเคารพและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกจับและผู้ต้องหาดังกล่าวอย่างเคร่งครัด มิเช่นนั้นอาจกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในกระบวนการยุติธรรม 3) ข้อกล่าวหาและฐานความผิด จากการตรวจสอบพบว่า มีการดำเนินคดีต่อแกนนำและผู้ชุมนุมในข้อหาและฐานความผิดจากลักษณะและพฤติการณ์อันเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการชุมนุมตามพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ จะมีการตั้งข้อหาและฐานความผิดเกี่ยวกับการฝ่าฝืนคำสั่งของจังหวัดนั้น ๆ ในเรื่องมาตรการป้องกันและการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกทั้งยังพบมีการดำเนินคดีในฐานความผิดเกี่ยวกับการจราจร หรือการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมซึ่งใช้สิ่งเทียมอาวุธ เช่น ระเบิดปิงปอง วัตถุติดไฟ (ระเบิดเพลิง) ในข้อหาหรือฐานความผิดซึ่งมักจะมีลักษณะเป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญา พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินคดีในข้อหาหรือฐานความผิดข้างต้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่อาจส่งผลกระทบต่อกรณีที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง รวมถึงการดำเนินคดีในบางกรณีอาจทำให้เกิดความกลัวที่จะใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าว ตลอดจนเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ เช่น การดำเนินคดีในฐานความผิดเกี่ยวกับการจราจร หรือการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต 4) การปล่อยชั่วคราวจากการตรวจสอบพบว่า จากเหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้น มีทั้งกลุ่มผู้ถูกจับและควบคุมตัวที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยไม่ต้องมีประกัน กลุ่มที่ถูกนำตัวไปศาลเพื่อขอให้ออกหมายขังแต่ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันหรือไม่มีประกัน และกลุ่มที่ถูกนำตัวไปศาลเพื่อขอให้ออกหมายขังและศาลมีคำสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว ซึ่งส่งผลให้บุคคลดังกล่าวจะต้องถูกส่งตัวไปฝากขังที่เรือนจำ และมีกรณีที่ศาลไม่ให้ประกันตัวด้วยเหตุผลที่ว่า พฤติการณ์ในการกระทำความผิดครั้งหลังนั้นเป็นการผิดเงื่อนไขในการปล่อยชั่วคราวในคดีเดิม หรือกรณีที่ศาลให้เหตุผลไว้ว่าอาจมีการกระทำความผิดซ้ำ นอกจากนี้ ยังมีผู้ถูกคุมขังที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวด้วยเหตุผลที่มีลักษณะเป็นการเฉพาะตัวและแตกต่างไปจากกรณีอื่น เช่น กรณีของบุคคลต่างด้าวซึ่งศาลไม่ให้ประกันตัวเนื่องจากไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนจึงเกรงว่าจะหลบหนี และกรณีเยาวชนอายุ 16 ปีซึ่งศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเนื่องจากไม่มีญาติเดินทางมารับรองการประกันตัว พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในบางกรณีนั้น ถึงแม้ว่าการมีคำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราวจะเป็นกรณีการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงประกอบกับข้อกฎหมายตามอำนาจหน้าที่ของศาล แต่การสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวดังกล่าว ควรคำนึงถึงและให้ความสำคัญแก่หลักการให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด และหลักการที่ว่า ทุกคนพึงมีสิทธิได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี ตามที่รัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองได้ให้การรับรองและคุ้มครองไว้ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย ทั้งนี้เพื่อให้การใช้ดุลยพินิจดังกล่าวอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน 2.ความเห็นต่อการใช้เสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนจากการตรวจสอบพบว่า การชุมนุมทางการเมืองในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2564 อยู่ในช่วงเวลาการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยส่วนใหญ่เป็นการชุมนุมเพื่อประท้วงรัฐบาล ที่สำคัญในห้วงเวลาดังกล่าวสามารถแยกพิจารณาได้ 3 รูปแบบ คือ 1) รูปแบบของการชุมนุมที่เป็นการประท้วง การเดินขบวนประท้วง และการชุมนุมแบบแฟลชม็อบ 2) รูปแบบของการชุมนุมที่เป็นการขับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ประท้วง ซึ่งเรียกว่ากิจกรรม “คาร์ม็อบ” (Car Mob) และ “ไบก์ม็อบ” (Bike Mob) และ 3) รูปแบบของการชุมนุมที่ไม่มีกลุ่มหรือแกนนำขับเคลื่อนการชุมนุมอย่างชัดเจน พิจารณาแล้วเห็นว่า ถึงแม้การชุมนุมทางการเมืองจะอยู่ในช่วงเวลาการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยมีการออกข้อกำหนดห้ามการรวมกลุ่มของบุคคลเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อันถือเป็นข้อจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธได้ตามกฎหมาย แต่การพิจารณาจำกัดเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธควรพิจารณาอย่างเคร่งครัด ซึ่งสามารถพิจารณาได้เป็นรายกรณีไป ตามหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน จึงเห็นว่า การชุมนุมในรูปแบบกิจกรรม “คาร์ม็อบ” (Car Mob) และไบก์ม็อบ (Bike Mob) เพื่อมีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก โดยผู้ชุมนุมขับขี่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางต่าง ๆ ลักษณะการชุมนุมนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายของผู้จัดการชุมนุม รวมทั้งผู้ชุมนุมในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกทั้งไม่ปรากฏเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงของผู้ชุมนุมในลักษณะที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและร่างกายของบุคคลอื่น หรือทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เนื่องจากเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นภายหลังผู้จัดการชุมนุมได้ประกาศยุติการชุมนุมไปแล้ว หรือการใช้ความรุนแรงเชื่อได้ว่า เกิดขึ้นจากมวลชนที่ไม่อยู่ในภายใต้เงื่อนไขการชุมนุม ซึ่งผู้จัดการชุมนุมได้มีความพยายามในการห้ามปรามแล้ว ส่วนการชุมนุมที่เป็นการประท้วง การเดินขบวนประท้วง และการชุมนุมแบบแฟลชม็อบนั้น การชุมนุมลักษณะนี้โดยทั่วไปยังคงเป็นการชุมนุมที่ไม่มีจุดประสงค์ในการใช้ความรุนแรง เพื่อแสดงออกถึงจุดประสงค์ทางการเมืองในการเสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อถึงรัฐบาล แม้ไม่มีการวางมาตรการเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่ผู้ชุมนุมอาจป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้ด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยของตนเอง อีกทั้งตามข้อคิดเห็นทั่วไป ฉบับที่ 37 (General Comment No. 37 on the right of peaceful assembly) เกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Human Rights Committee) ได้ระบุหลักการไว้ว่า การชุมนุมที่มีแต่เพียงการผลักหรือดันกัน หรือการขัดขวางการเคลื่อนที่ของยานพาหนะของผู้คน หรือการขัดขวางการทำกิจวัตรประจำวันไม่ถือว่าเป็นความรุนแรง จึงเห็นว่า การชุมนุมทั้งสองรูปแบบนี้ถือเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่า การชุมนุมประท้วงเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ปรากฏว่า ผู้ชุมนุมบางส่วนมีการทุบ เตะ ถีบไปที่โล่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ชุมนุมซึ่งสวมใส่หมวกกันน็อกคนหนึ่งได้ใช้ก้อนอิฐทุบเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบ การกระทำลักษณะดังกล่าวถือเป็นการใช้ความรุนแรงอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวมิได้สวมใส่เครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่จับกุมจนทำให้เกิดเหตุดังกล่าว สำหรับรูปแบบของการชุมนุมที่ไม่มีกลุ่มหรือแกนนำขับเคลื่อนการชุมนุมอย่างชัดเจน การชุมนุมภายหลังจากที่มีการประกาศยุติการชุมนุมไปแล้ว รวมทั้งการชุมนุมภายหลังล่วงเลยกำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหสถานตามข้อกำหนดออกตามความในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งเป็นมวลชนที่ใช้แนวทางการใช้กำลังและสิ่งเทียมอาวุธ เช่น ระเบิดปิงปอง วัตถุติดไฟ (ระเบิดเพลิง) หรือตอบโต้ด้วยการขว้างปาสิ่งของดังกล่าว ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น อาจทำให้เกิดอันตรายต่ข่าว กีฬา t sportอชีวิตและร่างกายของเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนที่เข้าไปอยู่ในพื้นที่การชุมนุม รวมทั้งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของราชการและของผู้อาศัยในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่การชุมนุมด้วย แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการการใช้กำลังเข้าควบคุมการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากต้องเป็นไปตามกฎหมายแล้ว ยังต้องคำนึงถึงหลักความเหมาะสมและความได้สัดส่วนเพื่อให้สิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุมได้รับผลกระทบน้อยที่สุดด้วย โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายและการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่มาชุมนุม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ตามหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน และคำนึงถึงความเหมาะสมและประโยชน์สูงสุดของเด็ก รวมทั้งควรมีมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนโดยใช้วิธีการเปิดพื้นที่พูดคุยและเจรจาเพื่อรับฟังปัญหาของเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ 3.ความเห็นต่อผลกระทบและการเยียวยาความเสียหายจากการตรวจสอบพบว่า ผลกระทบจากการชุมนุมและสลายการชุมนุมก่อให้เกิดการเสียชีวิต การสูญเสียอวัยวะ และการบาดเจ็บทางร่างกายและสภาพจิตใจของทั้งฝ่ายผู้ชุมนุม ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้พักอาศัยใกล้จุดปะทะ รวมทั้งผู้เดินทางผ่านพื้นที่ชุมนุม พิจารณาแล้วเห็นว่า ระบบการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายหรือระเบียบรองรับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองเป็นการเฉพาะที่ชัดเจน ในอดีตหลายครั้งใช้การดำเนินการโดยมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการเยียวยาที่แตกต่างกัน แม้จะมีการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 และวันที่ 13 มิถุนายน 2560 ที่ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำกฎหมายหรือระเบียบ เงื่อนไขและวิธีการช่วยเหลือเยียวยาที่ครอบคลุมทุกกรณี แต่ปัจจุบันยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม มีผลให้ประเทศไทยยังคงไม่มีกฎหมายหรือระเบียบที่เป็นแนวปฏิบัติหรือมาตรฐานกลางในการพิจารณาช่วยเหลือเยียวยาทุกกรณี ซึ่งรวมถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และแม้ปัจจุบันมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาหลายฉบับซึ่งบางกรณีอาจครอบคลุมที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองได้ แต่ยังพบปัญหาความไม่สะดวกในการเข้าถึงการเยียวยาทั้งในมิติกฎหมาย มิติการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และกลไกการเยียวยาที่มีอยู่ ซึ่งมีผลให้ประชาชนเสียสิทธิในการได้รับการเยียวยาหรือช่วยเหลือจากรัฐได้ จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายในประเด็นนี้ 4.ความเห็นต่อกรณีการคุ้มครองเด็กในสถานการณ์การชุมนุมผลจากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีการแยกแยะกลุ่มเด็กออกจากกลุ่มผู้ใหญ่ในการชุมนุม รวมทั้งไม่ปฏิบัติต่อเด็กด้วยวิธีการที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ ทั้งในเรื่องการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุมดูแลการชุมนุม และปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในเบื้องต้น โดยจัดประชุมเพื่อแสวงหาทางออกและจัดทำข้อเสนอแนะ กรณีสิทธิเด็กในสถานการณ์ชุมนุม (กรณีสามเหลี่ยมดินแดง) เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 และได้มีข้อเสนอแนะในการแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิเด็ก รวมถึงการปกป้อง คุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของเด็กในสถานการณ์การชุมนุม (กรณีสามเหลี่ยมดินแดง) ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามหนังสือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ สม 0004/2353 – 2355 ลงวันที่ 10 กันยายน 2564 พร้อมทั้งจัดประชุมติดตามผลความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งปรากฏผลว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 4.ข้อสรุป1.ข้อเสนอแนะมาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องดำเนินการ ดังนี้1) งดเว้นการใช้ลวดหีบเพลงแถบหนามเป็นเครื่องมือควบคุมฝูงชน และพิจารณาปรับปรุงแก้ไขประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง เครื่องมือควบคุมฝูงชนในการชุมนุมสาธารณะ ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 2) กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้หลีกเลี่ยงการใช้กำลังในการรักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุมโดยเคร่งครัด และต้องไม่กระทำการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการสร้างเงื่อนไขหรืออาจเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดความตึงเครียดโดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจนำไปสู่การไม่ให้ความร่วมมือ การตอบโต้ หรือแม้กระทั่งการทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุม 3) ปรับปรุงวิธีปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนในการใช้กำลังและการใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายและหลักสากล ทั้งนี้ ควรมีการกำกับดูแลควบคุมและสั่งการตามลำดับชั้นบังคับบัญชา รวมทั้งต้องกำชับให้ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการใช้กำลังเข้าจับกุมผู้ชุมนุมต้องเหมาะสมและพอสมควรแก่เหตุกับพฤติการณ์ของผู้ถูกจับกุม และให้ปฏิบัติต่อผู้ถูกจับกุมซึ่งเป็นเด็กและเยาวชนอย่างเหมาะสม ตลอดจนระมัดระวังเพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับผลกระทบ 4) เร่งรัดดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อนำตัวบุคคลผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายทุกกรณี รวมทั้งหากการกระทำความผิดเช่นว่านั้นก่อให้เกิดความเสียหายประการใด จะต้องเร่งดำเนินการเยียวยาความเสียหายดังกล่าวตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป 5) งดเว้นการใช้เครื่องพันธนาการในการจับกุมเด็กและเยาวชนทั้งในขณะที่จับกุมและระหว่างควบคุมตัว 6) ห้ามนำตัวเด็กไปไว้ในห้องคุมขัง ในกรณีที่จำเป็นต้องกำหนดสถานที่ควบคุมตัวเด็กและเยาวชนเป็นการเฉพาะ ในลักษณะที่ไม่ใช่การกักขังในห้องคุมขัง โดยต้องแยกพื้นที่ควบคุมตัวเด็กและเยาวชนต่างหากจากผู้ใหญ่ เช่น สถานฝึกอบรม สถานบำบัดฟื้นฟู หรือสถานที่อื่นที่เหมาะสม ทั้งนี้ เมื่อมีการควบคุมตัวเด็กและเยาวชน เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเปิดเผยสถานที่แห่งนั้นให้สาธารณชนทราบโดยทันที โดยพิจารณาภายใต้หลักประโยชน์สูงสุดของเด็กและเยาวชน 7) เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการหรือจัดให้ผู้ถูกจับกุมทุกคนได้รับสิทธิที่พึงมีตามกระบวนการยุติธรรม และควรหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ อันเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิของผู้ถูกจับกุมในการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย เช่น การไม่อนุญาตให้ทนายความเข้าพบในทันที การจำกัดการเข้าเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติ รวมถึงการยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่หรืออุปกรณ์ติดต่อสื่อสารของผู้ถูกจับกุม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับรายงานฉบับนี้ 2.ข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน 2.1 ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ ดังนี้1) หลีกเลี่ยงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในการควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการใช้พระราชกำหนดดังกล่าวเป็นไปเพื่อป้องกันภัยร้ายแรงที่กระทบต่อความมั่นคง ไม่อาจนำไปใช้ในการชุมนุมทางการเมืองในลักษณะทั่วไปได้ เพราะอาจก่อให้เกิดการจำกัดหรือลดทอนการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เว้นแต่การชุมนุมนั้นได้แปรเปลี่ยนไปสู่สถานการณ์วิกฤต หรือการจลาจลที่กระทบต่อความมั่นคง 2) เร่งรัดการจัดทำกฎหมายหรือระเบียบกลางที่กำหนดเงื่อนไขและวิธีการในการช่วยเหลือเยียวยาที่ครอบคลุมทุกกรณี โดยมอบหมายกระทรวงยุติธรรม โดยสำนักกิจการยุติธรรม เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาศึกษาและจัดทำกฎหมายดังกล่าว 2.2 ให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ให้ครอบคลุมการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง โดยให้คณะกรรมการกองทุนยุติธรรมพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ขอรับความช่วยเหลือจากการกระทำละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเป็นผู้มีสิทธิขอรับความช่วยเหลือ ตามข้อ 9 (5) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในระหว่างการจัดทำกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขและวิธีการ ช่วยเหลือเยียวยาที่ครอบคลุมทุกกรณียังไม่แล้วเสร็จ 2.3 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ ดังนี้1) กำหนดแนวทางปฏิบัติให้การควบคุมและจัดการการชุมนุมควรต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบ และหลีกเลี่ยงการใช้เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบมาเป็นผู้ควบคุมหรือจัดการการชุมนุม 2) กำชับให้เจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายตามกระบวนการยุติธรรมปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกจับและผู้ต้องหาอย่างเคร่งครัด ทั้งการแจ้งสิทธิและให้สิทธิแก่ผู้ถูกจับและผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 3) กำชับแนวทางปฏิบัติต่อการดำเนินคดีกับแกนนำหรือผู้ชุมนุมอันสืบเนื่องมาจากการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงออกทางการเมือง โดยให้ดำเนินการอย่างระมัดระวังซึ่งต้องคำนึงถึงความได้สัดส่วนและความจำเป็นตามแต่ละกรณี โดยควรหลีกเลี่ยงการตั้งข้อหาหรือฐานความผิดที่เป็นการจำกัดหรือสร้างภาระแก่ผู้ใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวเกินสมควรแก่เหตุ 4) ประชาสัมพันธ์หรือเปิดช่องทางให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถยื่นคำขอให้มีการเยียวยาและชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ 2.4 ให้ศาลยุติธรรมพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจเกี่ยวกับการพิจารณาปล่อยชั่วคราว โดยยึดหลักการให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด และหลักการที่ว่า ทุกคนพึงมีสิทธิได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี ตามที่รัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองได้ให้การรับรองและคุ้มครองไว้ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย อีกทั้ง ควรพิจารณามาตรการอื่นแทนการคุมขัง เช่น การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring: EM) 3.ข้อเสนอแนะต่อการจัดการชุมนุมการจัดการชุมนุมต้องเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธและสิ่งเทียมอาวุธ โดยต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ทั้งสิทธิของบุคคลอื่นและความรับผิดชอบต่อผู้เข้าร่วมการชุมนุม ต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากอันตรายจากการชุมนุมทางการเมือง และการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเหตุอื่นใด โดยเฉพาะการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่เด็กและเยาวชน รวมทั้งควรมีช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้จัดการชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้การชุมนุมเป็นไปตามหลักสากล
วันนี้ (24 ธ.ค.2564) เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดย นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ แล
สิ่งอำนวยความสะดวก
การตกแต่ง
เครื่องปรับอากาศ
ชั้นบน
เตาอบ/ไมโครเวฟ
ความสะดวกโดยรอบ
กล้องวงจรปิด
เครืองปรับอากาศ
โถงรอลิฟท์ร้านอาหาร
ทางเข้าหลัก
ยอดสินเชื่อโดยประมาณ
รายละเอียดสินเชื่อ
ยอดสินเชื่อที่ต้องชำระต่อเดือนโดยประมาณ
฿ 0 / เดือน
฿ 0 เงินต้น
฿ 0 ดอกเบี้ย
ค่าใช้จ่ายที่อาจต้องมีเบื้องต้น
เงินดาวน์ทั้งหมด
฿ 0
เงินดาวน์
จำนวนสินเชื่อ ฿ 0 ในอัตรา 0% ของสินเชื่อต่อราคาบ้าน (Loan-to-value)
วันนี้ (17 พ.ค.2568) นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวย

ณ อาร์ตคลับ เติมเต็มฝันเยาวชนไทย บ่อยครั้งที่จินตนาการในวัยเยาว์ถูกแปรเปลี่ยนและพัฒนามาเป็นผลงานหรือสิ่งประดิษฐ์ที่มีประโยชน์มหาศาลต่อโลกใบนี้ แต่บางครั้งความไม่เข้าใจก็อาจเป็นอุปสรรคต่อจินตนาการของเด
ดูรายละเอียดโครงการคำถามที่พบบ่อย
วันนี้ (4 มิ.ย.2568) รศ.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ กล่าวถึงยุทธศาสตร์
"อยากกินหมูกระทะ อยากกินหมูกระทะ" ช่วง COVID-19 แบบนี้ หลายคนคงจะคิดถึงกลิ่นหอม ๆ ของหมูกระทะ แต่หลา
วันนี้ (3 พ.ค.2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลตรวจแล็บ ทีม รศ.ดร.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อาจารย์อ๊อด อา
วันนี้ (23 ก.พ.2564) ศบค.รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ในประเทศไทย พบเพิ่ม 95 คน ในจำนวนนี
สถานการณ์ในประเทศฝรั่งเศสร้อนแรงตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จากกรณีผู้นำฝรั่งเศสผลักดันให้มีการปฏิรูปร
ค้นหาประกาศอื่นรอบๆ ทุ่งพญาไท
จากสิ่งที่คุณค้นหา คุณอาจจะสนใจตัวเลือกต่อไปนี้
slot auto win