ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้นในขณะนี้ ทำให้หลายคนต้องตกงาน ซึ่งการเข้าไปฝึกอาชีพระยะสั้น เพื่อนำความรู้มาประกอบอาชีพก็ถือเป็นหนึ่งในทางรอด

คำกล่าวที่ว่า"แบงก์ชาติอยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่ฟังเสียงประชาชน" ไม่ต่างจากหอกที่พุ่งเป้าตรงไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อเกิดกระแสแบงก์ชาติ “ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย” เพื่อช่วยเหลือประชาชน ตามคำขอของนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” รายการคุยนอกกรอบ โดย “สุทธิชัย หยุ่น” จับเข่าคุยเปิดใจกับ“เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ว่า “เหตุใดจึงไม่ยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ย” กับภารกิจหนักในฐานะที่ต้องแบกรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ “หากมองภาพรวมของเศรษฐกิจปัจจุบัน การปรับลดดอกเบี้ย ไม่ได้ส่งผลลดภาระหนี้ของประชาชนได้ เพราะมีสัดส่วนไม่น้อย ดอกจากการลดดอกเบี้ยไม่ได้เป็นผล และอาจทำให้เกิดการกู้เพิ่ม จนหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น” ผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ ตอบ เมื่อถูกถามว่า ทำไม? แบงก์ชาติถึงไม่ปรับลดดอกเบี้ยให้กับประชาชน และธุรกิจ SME เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้” เขาระบุว่า ดอกเบี้ยเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การตัดสินใจทำอะไร ต้องมีการอิงกับข้อมูล ภาพรวม และต้องดูผลเกี่ยวเนื่องระยะยาว ไม่ใช่แค่ผลระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเฟ้อ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สำคัญที่สุดคือ เสถียรภาพของระบบการเงิน “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” อธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ GDP (อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ) ของไทยส่วนใหญ่เกิดจากการผลิต และการเติบโตของแรงงานที่มีประสิทธิภาพ แต่ปัจจุบันอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย เฉลี่ยอยู่ที่ 3% เท่านั้น เนื่องด้วยปัจจัยเชิงโครงสร้าง จากประชากรวัยทำงานลดลง รวมทั้งประสิทธิภาพของแรงงานไม่มีการเติบโต หากจะทำให้จีดีพีกลับมาสูงเหมือนเดิมก็ต้องใช้เวลานานในการเตรียมแผนโครงสร้างคนตั้งแต่วัยเด็ก หรือการเพิ่มจำนวนประชากรของประเทศ ส่วนสำคัญที่จะทำให้ให้ GDP กลับมาได้อีกครั้งคือการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ขณะที่หลายคนตั้งคำถามเหตุใด “การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ” และ “เงินเฟ้อติดลบ” จึงยังไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดการลดอัตราดอกเบี้ย ผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ บอกว่า ในฐานะของแบงก์ชาติ จะดูแค่ตัวเลขบางส่วนไม่ได้ เช่น อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง เกิดจากหลายสาเหตุหลัก เช่น 1. การผลิตของไทยที่ยังไม่ค่อยฟื้นอย่างที่ควร และมีบางอย่างที่เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง2. นักท่องเที่ยวที่แม้จะกลับมา รายจ่ายของนักท่องเที่ยวไม่ได้ฟื้นกลับมา อย่างที่คาดการณ์ไว้3. รายจ่ายภาครัฐที่อาจจะมีการเบิกจ่ายช้าลง โดยเฉพาะปีนี้งบประมาณล่าช้ามาก ซึ่ง 3 ประเด็นนี้ ไม่ใช่ปัจจัยที่ถูกกระทบจากเรื่องการลดดอกเบี้ย เพราะการลดดอกเบี้ยเพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องผ่านการบริโภคกับการลงทุน แต่เมื่อมองการบริโภคถามว่ามีปัญหาไหม คำตอบคือ “ไม่” การบริโภคที่ผ่านมาโตอยู่ในอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นการลดดอกเบี้ยหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง ก็จะไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่จะเป็นไปกระตุ้นให้คนไปกู้เพิ่ม ส่วนเงินเฟ้อเมื่อมาดูในเชิงโครงสร้าง ยังอยู่ในระดับที่ยังบวกอยู่ 0.5 – 0.6% จึงคาดการณ์ว่าแนวโน้มเงินเฟ้อน่าจะกลับเข้าไปอยู่ประมาณ 1% เมื่อย้อนกลับมาดูเรื่อง “เสถียรภาพการเงิน” ปัจจุบันมีหนี้ครัวเรือน สูงมากถึง 91% ต่อจีดีพี ส่วนหนึ่งที่ทำให้หนี้โตขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็คือการที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำมานานพอสมควร ดังนั้นการจะทำให้ดอกเบี้ยต่ำขึ้น เพื่อให้คนกู้เพิ่มอีกเป็นอะไรที่ไม่เหมาะกับสภาวะปัจจุบัน เมื่อถามว่า…. แต่รัฐบาลมองว่าหากดอกเบี้ยลดลง SME ที่เป็นหนี้อยู่ ภาระดอกเบี้ยก็จะลดน้อยลง จะกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายมากขึ้น การลงทุนในครัวเรือนก็จะเพิ่มขึ้นหรือไม่ “นายเศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า เป็นเรื่องที่มองต่างมุม ในแง่ภาพรวม นักการเมืองจะมองว่า หากลดดอกเบี้ยทุกคนจะมีความสุข แต่หากมองในมุมของแบงก์ชาติ จะมองภาพรวมระยะยาว คำนึงถึงผลข้างเคียง เรื่องภาระหนี้หลัก ๆ มาจากเรื่องของรายได้ อีกส่วนเกี่ยวโยงกับดอกเบี้ยสินเชื่อต่าง ๆ ดังนั้นการลดดอกเบี้ย ไม่ได้ส่งผลลดภาระหนี้ของประชาชน “อธิบายง่าย ๆ สำหรับคนที่กู้สินเชื่อบ้าน วงเงิน 1 ล้านบาท หากมีการลดดอกเบี้ย 25 สตางค์ ค่างวดจะไม่ลด แต่จะไปลดค่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเท่านั้น แต่จากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท คิดคำนวนจะลดปีนึงตกประมาณ พันต้น ๆ บาทต่อปี ทำให้ยอดเงินต้นที่ต้องส่งทั้งหมดไม่เปลี่ยน ถ้าเทียบกับต้นทุนอื่น ๆ ของครัวเรือนก็อาจจะไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่เข้าใจว่าในช่วงนี้คนลำบาก ทุกบาททุกสตางค์ ก็มีนัยยะ แต่ทั้งหมดก็ต้องชั่งผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาต่อระบบที่ต้องเร่งแก้ของการชะลอหนี้ที่สูงมานาน” ดังนั้นการแก้ปัญหาทuse sbobetี่ตรงจุดมากที่สุดคือ “มาตรการปรับโครงสร้างหนี้” ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยการบังคับผ่านธนาคารทุกแห่ง โดยมีตัวเลขจากการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ของ SFls และ non-banks ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 - ธันวาคม 2566 จำนวน 6.37 ล้านบัญชี โดยมียอดภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือ 3.52 ล้านล้านบาท มีคำถามว่า “นายกรัฐมนตรี” จะมองในแง่ของการเมือง แต่ยังมีหมวกอีกใบในฐานะ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” ที่มองในเรื่องการเงินและคลัง ในฐานะผู้ว่าแบงก์ชาติ จะคุยอย่างไรให้เข้าใจในทั้งสองบริบท “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” บอกว่า โดยธรรมชาติรัฐบาล ไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม จะเน้นเกี่ยวกับเรื่องการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่แบงก์ชาติ จะมองในเรื่องของเสถียรภาพ เศรษฐกิจ การเงิน สถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีความขัดแย้งอยู่ในตัว ทำให้ต้องมองทั้งสองมุมให้ครบ เรียกได้ว่า “ต่างคน ต่างมีบทบาท เน้นระยะห่าง ที่เหมาะสม” “แบงก์ชาติไปอยู่บนหอคอยงาช้างหรือไม่” เป็นข้อครหาที่จะถูกพูดถึงเสมอ ผู้ว่า ธปท. กล่าวว่า อาจเป็นเพราะเป้าหมายที่มองต่างกัน ฝั่งหนึ่งอาจจะมองเรื่องของการเติบโต อีกฝั่งอาจจะเน้นเรื่องของเสถียรภาพ โดยพื้นฐานของแบงก์ชาติก็มักจะต้องมองภาพรวม และมองเรื่องของระยะยาวเป็นหลัก ซึ่งรัฐบาลโดยธรรมชาติจะต้องมองสั้น และฟังเสียงปัญหาเป็นหลัก แต่ก็ต้องบอกว่าการที่มองทั้งระยะยาวและภาพรวม” “เราไม่เคยพูดว่า เศรษฐกิจไทยลาเวนเดอร์ เราเห็นตัวเลขเราคิดว่ามันฟื้นอยู่ มันยังโต ยังไม่เป็นภาวะเศรษฐกิจติดลบ หรือมีปัญหาในวงกว้าง แต่ถามว่าฟื้นช้าไหม ฟื้นช้า แต่ก็ยังฟื้นอยู่ และปัญหามีอยู่เยอะ” เมื่อถามว่าจากนี้ไปถึงสิ้นปีนี้มองอย่างไร เศรษฐกิจไทยจะฟื้นไม่ฟื้น มีอะไรที่ต้องกังวลบ้าง นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เศรษฐกิจน่าจะโตสัก 2.5 – 3% ปัจจัยที่สนับสนุนการฟื้นตัวก็จะยังเป็นเรื่องของการบริโภคภายในประเทศที่ยังโตอยู่ บวกกับเรื่องท่องเที่ยว แม้ว่ารายจ่ายจะยังไม่มาแต่ก็คิดว่าน่าจะช่วยได้ และตัวที่หวังว่าจะได้อานิสงส์เพิ่มเติมก็คือเรื่องการส่งออก แต่การส่งออก อาจจะเริ่มเจอปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้อานิสงส์ที่จะได้จากตรงนี้ ยังไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หากมองเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ประเทศไทยถือว่าหนัก “ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศได้มีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจไปแล้ว ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับประเทศไทย เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม โดยเฉพาะ “เวียดนาม” มีการลงทุน อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตส่งออกในต่างประเทศ ทำให้เขาเกิดห่วงโซ่อุปทานอย่างเข็มแข็ง และในอนาคตอุปสงค์ของโลกกจะยิ่งเติบโตขึ้น” ผู้ว่าเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า สิ่งที่ชัดเจน และอยากเห็นคือ อะไรที่เป็นเรื่องระยะยาว การสร้าง การเพิ่มประชากรของประเทศ การเพิ่มการแข่งขันเพื่อให้มีศักยภาพระดับโลก จะทำให้เกิดการดึงดูดการลง ทุนจากต่างชาติ หรือภาคเอกชนในประเทศเอง รวมถึงการแก้กฎเกณฑ์ที่ไม่เอื้อของการลงทุนต่างๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้การแข่งขันมันไม่สามารถจะไปถึงได้ ขณะที่ผลกระทบด้านเศรษฐกิจด้านเชิงโครงสร้างที่เริ่มเห็นได้ชัดในขณะนี้ คือ “จีน” มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเชิงรุกที่นอกจากจะเริ่มผลิตสิ่งต่างๆ ที่เคยนำเข้าจากไทยแทนแล้ว ยังสามารถผลิตเพื่อส่งไปขายให้ประเทศอื่นด้วย ทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากจีนไม่ใช่แค่การส่งออกไปจีน แต่ยังมีผลกระทบที่ทำให้ไทยส่งสินค้าไปประเทศที่สามลำบากขึ้น “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” ยอมรับว่าตลอดระยะการทำงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้จะเจอปัญหาใหญ่และปัญหาด่วนที่ต้องแก้ โดยเฉพาะในเรื่องเชิงโครงสร้างก็ยังไม่ได้ทำเท่าที่ควร ดังนั้นเวลาที่เหลืออีก 1 ปี 8 เดือน ก็จะวางโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวไว้ให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ มี 2 เรื่องใหญ่ๆ คือเรื่อง ‘ดิจิทัล’ และ ‘กรีน’ (การเงินเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม) เรื่องดิจิทัล มองว่า ไม่น่าเป็นห่วง เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้ช้ากว่าประเทศอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบเพย์เมนต์ (Payment) ทั้งในและต่างประเทศ, โครงการนำร่อง (Pilot Project), โครงการเพื่อการโอนเงินระหว่างประเทศ ( M-Bridge) หรือ ระบบ Nexus นวัตกรรมที่มุ่งแก้ไขอุปสรรคของการทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศ “ถามว่าจะทำเสร็จไหมภายใน 1 ปี 8 เดือน ต้องตอบว่า “ไม่” แต่จะวางโครงสร้างให้สามารถเดินต่อไปได้ ในเป้าหมายที่อยากเห็นมากๆ คือ “Open Banking Data” เป็น การผลักดันกลไกที่เอื้อให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้สิทธิส่งข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์และได้รับบริการที่ดีขึ้น” และผู้ให้บริการสามารถเข้าถึงข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งเสริมการแข่งขันและพัฒนาบริการที่ดีขึ้น และผลักดันให้มีกลไกให้ผู้ใช้บริการใช้สิทธิส่งข้อมูลในภาคสถาบันการเงินก่อน รวมถึงกลไกที่ผู้ใช้บริการสามารถใช้สิทธิส่งข้อมูลข้ามกันระหว่างภาคส่วนอื่นกับภาคสถาบันการเงินควบคู่กันไปด้วย” ขณะที่ “BG Green” คนไม่ค่อยให้ความสนใจ ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนรู้สึกว่าไกลตัว ทั้งที่จริงมันคือสิ่งไกลตัว ดังนั้นสิ่งที่อยากเห็นคือ ภาคการเงินสามารถประเมินผลกระทบ (ความเสี่ยงและโอกาส) ด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจ และการดำเนินการอย่างเป็นระบบ รวมถึงมีผลิตภัณฑ์ บริการทางการเงินที่จำเป็นและเพียงพอให้สามารถกระตุ้นหรือส่งเสริมให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อสนับสนุนให้ภาคการเงินไทยพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและสามารถตอบโจทย์ความต้องการปรับตัวของภาคธุรกิจได้ดี ด้วยการวางรากฐานที่สำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ 1. การปรับกระบวนการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินเพื่อให้มีบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินด้านสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ (Products and Services)2. มาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Taxonomy)3. ฐานข้อมูลที่เป็นระบบ เข้าถึงได้ และมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลของสถาบันการเงิน (Data and Disclosure)4. โครงสร้างแรงจูงใจ (Incentive) เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมในภาคการเงินที่เหมาะสม5. องค์ความรู้และทักษะของบุคลากรในภาคการเงิน (Capacity Building) แม้เจอศึกหนักในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา แต่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่า รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานอย่างเต็มที่ และเข้าใจสัจจะธรรม “หากทำนโยบายที่ถูกต้อง อาจจะไม่ถูกใจคน แต่เมื่อมองผลกระทบในระยะยาว ก็ถือได้ว่าทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อประเทศ” อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เลขาฯ สภาพัฒน์ โยน กนง.ถกแบงก์ชาติ “ลด-ไม่ลด” ดอกเบี้ย สภาพัฒน์ เผย ศก.ไทยปี 66 GDP โต 1.9% แนะแบงก์ชาติทบทวนนโยบายการเงิน

ยอดจองบ้านและคอนโดมีเนียมที่เกิดขึ้นใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์ผ่านพ้นจนถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลง เนื่องจากสถาบันการเงินทุกแห่งคุมเข้มในการปล่อยสินเชื่อ ลามถ

วันนี้ (8 พ.ค.2568) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์​ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ออกหนังสือด่วนที่สุด​ที่​ มท 0211.4

นิยายชีวิต โดย : Ifaldi Musyadat
เรื่องและภาพโดย : Ifaldi Musyadat
[[คลิก]] อ่านเรื่องราว “นิยายชีวิต” ได้ที่นี่..