วันนี้ ( 11 พ.ค.2564) ตำรวจกองปราบปรามคุมตัวนายเด่

ประวัติศาสตร์ของรัฐบาลทหารเมียนมาสามารถย้อนกลับไปได้ถึงปี ค.ศ. 1962 เมื่อ พล.อ.เนวิน ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน และเริ่มต้นการปกครองโดยทหารที่ยืดเยื้อ ประเทศถูกปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการทหารเป
วันนี้ (11 พ.ค.2566) น.ส.ณัฐชนิกานต์ เกตุคำขวา และนายพิชัย เอี่ยมอ่อน ทนายความ ผู้รับมอบอำนาจจากนายศุภชัย ใจสมุทร ผู้บริหารพรรคภูมิใจไทย เดินทางยื่นฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง คดีละเมิด
ประวัติศาสตร์ของรัฐบาลทหารเมียนมาสามารถย้อนกลับไปได้ถึงปี ค.ศ. 1962 เมื่อ พล.อ.เนวิน ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน และเริ่มต้นการปกครองโดยทหารที่ยืดเยื้อ ประเทศถูกปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการทหารเป็นเวลาหลายทศวรรษ มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน การปราบปรามผู้เห็นต่าง และการควบคุมเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด แม้ในช่วงต้นปี 2010 รัฐบาลทหารจะเปิดทางให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยบางส่วน แต่การยึดอำนาจครั้งล่าสุดในปี 2021 ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงทางการเมืองและการกลับสู่ยุคเผด็จการอีกครั้ง กลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมามีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองและสังคมของประเทศ เมียนมาเป็นประเทศที่มีชนกลุ่มน้อยมากกว่า 135 กลุ่ม โดยกลุ่มใหญ่ ๆ เช่น ชาวกะเหรี่ยง ชาวยะไข่ ชาวฉาน และชาวมอญ ต่างมีวัฒนธรรมและภาษาเป็นเอกลักษณ์ ความไม่เท่าเทียมและการกีดกันชนกลุ่มน้อยในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในเมียนมา หลายกลุ่มได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล โดยมีเป้าหมายเพื่อความเป็นอิสระหรือการปกครองตนเอง ในบริบทของการเรียกร้องประชาธิปไตย การรวมตัวของกลุ่มชาติพันธุ์และประชาชนทั่วไปในการต่อสู้กับรัฐบาลทหารเป็นภาพที่เห็นได้ชัดในช่วงหลังการรัฐประหารปี 2021 การลุกฮือของประชาชนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรงจากรัฐบาลทหาร การใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงและการจับกุมผู้นำทางการเมือง เช่น นางอองซานซูจี สร้างความตกตะลึงและความโกรธแค้นในระดับนานาชาติ รัฐบาลทหารและกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา ถือเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ประวัติศาสตร์การทำรัฐประหารของกองทัพนายพลเนวิน เมื่อปี 1962 ทำให้เมียนมาถูกปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการทหารเป็นเวลาหลายทศวรรษ จนในปี 1988 เกิดการลุกฮือครั้งใหญ่ของประชาชนที่เรียกว่าการปฏิวัติ 8888 (8 ส.ค.1988) ประชาชนออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ถูกปราบปรามอย่างรุนแรงโดยรัฐบาลทหาร ส่งผลให้ พล.อ.ซอหม่อง เข้ามาปกครองประเทศ จากนั้นในปี 1990 การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษถูกจัดขึ้น และพรรค NLD (พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย) ของนางอองซานซูจีชนะอย่างถล่มทลาย แต่ผลการเลือกตั้งไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลทหาร ต้นปี 2010 รัฐบาลทหารเริ่มดำเนินการเปลี่ยนผ่านบางส่วน มีการจัดตั้งรัฐธรรมนูญใหม่และจัดการเลือกตั้งในปี 2015 ซึ่งพรรค NLD ก็ชนะอีกครั้ง นางอองซานซูจีขึ้นมามีบทบาทสำคัญในรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 ก.พ.2021 กองทัพเมียนมาทำรัฐประหารอีกครั้ง โดยอ้างว่าการเลือกตั้งในปี 2020 มีการทุจริต และจับกุมผู้นำทางการเมืองรวมถึงนางอองซานซูจี ส่งผลให้ประเทศกลับสู่การปกครองโดยทหารอีกครั้ง ความขัดแย้งกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมียนมา เป็นปัญหาอีกประเด็นที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน เมียนมามีชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 135 กลุ่ม เช่น ชาวกะเหรี่ยง ชาวยะไข่ ชาวฉาน และชาวมอญ ที่มีความไม่พอใจต่อการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมจากรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม หลายกลุ่มได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลทหาร โดยมีเป้าหมายเพื่อความเป็นอิสระหรือการปกครองตนเอง ตัวอย่างที่เด่นชัดของความขัดแย้งคือการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต่อสู้มาอย่างยาวนานอีกกลุ่มหนึ่งในโลก ปมขัดแย้งมาจากการเรียกร้องสิทธิทางชาติพันธุ์และอัตลักษณ์ รวมถึงความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการพื้นฐาน เช่น การศึกษาและสาธารณสุข อีกกรณีหนึ่งคือวิกฤตโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ซึ่งเริ่มรุนแรงขึ้นในปี 2017 เมื่อชาวโรฮิงญาหลายแสนคนต้องลี้ภัยไปยังบังกลาเทศ ทำให้รัฐบาลเมียนมาถูกกล่าวหาว่ากระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และถูกกดดันจากนานาชาติอย่างหนัก ในบริบทของการเรียกร้องประชาธิปไตย การรวมตัวของกลุ่มชาติพันธุ์และประชาชนเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลทหาร เราจะเห็นภาพชัด ๆ คือช่วงหลังการรัฐประหารปี 2021 การลุกฮือของประชาชนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรงจากรัฐบาลทหาร การใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงและการจับกุมผู้นำทางการเมือง เช่น นางอองซานซูจี สร้างความตกตะลึงและความโกรธแค้นในระดับนานาชาติ ความพยายามในการสร้างสันติภาพในเมียนมามีมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 2010 เมื่อรัฐบาลเริ่มเจรจากับกลุ่มชาติพันธุ์และลงนามในข้อตกลงหยุดยิง อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นที่มีไม่มากพอต่อกัน ระหว่างรัฐบาลและกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงการแทรกแซงของรัฐบาลทหาร ทำให้ความพยายามเหล่านี้ไม่สามารถนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนได้ นอกจากนี้ ปัจจัยระหว่างประเทศยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของเมียนมา ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและไทยมีความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์กับรัฐบาลเมียนมา ขณะที่ชาติตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรเพื่อกดดันรัฐบาลทหาร การสนับสนุนประชาธิปไตยในเมียนมายังคงเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากการแบ่งขั้วทางภูมิรัฐศาสตร์และผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันของประเทศต่าง ๆ สถานการณ์ปัจจุบันของเมียนมา ยังคงมีความไม่สงบและความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ผู้ลี้ภัยหลายแสนคนจากเมียนมาต้องอพยพออกนอกประเทศไปยังเขตชายแดนของไทย บังคลาเทศ และ อินเดีย ขณะที่ผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (IDPs) มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ขาดแคลนอาหาร น้ำสะอาด และยารักษาโรค ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่น มักสะท้อนความทุกข์ยากที่เกิดจากการสูญเสียบ้านและวิถีชีวิต หลายคนแสดงความโกรธแค้นต่อรัฐบาลทหารที่ไม่ยอมรับฟังความต้องการของประชาชน ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับไทยพีบีเอสออนไลน์ กล่าวถึงความหวังในการได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ เพื่อสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลทหารยุติการใช้ความรุนแรงและกลับเข้าสู่เส้นทางของประชาธิปไตย ทางตะวันตกของเมียนมา มี 2 รัฐที่ติดกับชายแดน รัฐที่ 1 เป็นสนับสนุนจีน มีแนวคิดไปทางคอมมิวนิสต์ พวกเขาจึงปิดพรมแดนไม่ให้ชาวเมียนมาลี้ภัยหนีสงคราม ส่วนอีกรัฐหนึ่งก็เปิดให้ชาวเมียนมาอพยพหนีสงครามได้บ้าง ส่วนทางตอนเหนือของเมียนมา แทบไม่มีความหวังเพราะติดกับประเทศจีน พรมแดนปิดตายไม่มีวันเปิดรับ ทางเลือกที่ชาวเมียนมาเหลืออยู่คือ "ประเทศไทย" ด้วยภูมิศาสตร์ที่มีชายแดนต่อเนื่องกันยาวถึง 2,000 กว่ากิโลเมตร สำหรับผู้ลี้ภัยเมียนมา ไทยจึงเสมือนเป็นที่พึ่งทั้งให้ที่พัก การศึกษา งาน และเป็นสถานที่ที่สามารถเรียกร้องประชาธิปไตย ขณะที่ประชาชนที่หลบหนีจากสงครามในเมียนมา สะท้อนความสิ้นหวังจากการสู้รบและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในบ้านเกิด หลายคนเรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศเพิ่มความช่วยเหลือและกดดันรัฐบาลทหารมากขึ้น ผู้ลี้ภัยในพื้นที่ชายแดนยังคงพึ่งพาการสนับสนุนจากชุมชนท้องถิ่นและองค์กรไม่แสวงหากำไร เนื่องจากการสนับสนุนจากรัฐยังมีข้อจำกัด แม้ว่าองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ จะพยายามเข้ามาช่วยแก้ไขวิกฤตในเมียนมา แต่ความพยายามเหล่านี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ทั้งความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจ ความคิดเห็นที่แตกต่างกันเองภายในอาเซียน และการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงของรัฐบาลทหาร ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน สถานการณ์ในเมียนมา เสียงเรียกร้องที่ถูกขัดขวาง "องค์การสหประชาชาติ หรือ UN" ได้แสดงบทบาทในการกดดันรัฐบาลทหารเมียนมา ผ่านการประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงและเปิดเจรจา แต่ UN เองก็ยังไม่สามารถแก้ไขความแตกแยกภายในได้เลย โดยเฉพาะการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและรัสเซียต่อรัฐบาลทหาร มาตรการที่ UN พอทำได้ เช่น การคว่ำบาตร หรือการส่งกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปในพื้นที่ แต่ก็จะถูกขัดขวาง ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ แผนฉันทามติที่ยังไม่บรรลุผล "อาเซียน" ในฐานะองค์กรภูมิภาค พยายามแก้ไขวิกฤตเมียนมาผ่าน "แผนฉันทามติ 5 ข้อ" เน้นการหยุดยิงและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ก็ประสบปัญหาในการดำเนินการ เพราะรัฐบาลทหารเมียนมายังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขสำคัญไม่ได้ เช่น การเจรจาpg 168กับฝ่ายตรงข้ามและองค์กรชาติพันธุ์ นอกจากนี้ ความแตกต่างภายในอาเซียนเองก็เป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินนโยบายที่เป็นเอกภาพ เสียงเรียกร้องที่ไม่หยุดนิ่ง องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เช่น Amnesty International และ Human Rights Watch มีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงและประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา รายงานต่าง ๆ ขององค์กรเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อประชาชน การละเมิดสิทธิมนุษยชนของกลุ่มชาติพันธุ์ และสถานการณ์ของผู้ลี้ภัย นอกจากนี้ องค์กรเหล่านี้ยังได้เรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรรัฐบาลทหาร และสนับสนุนการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดต่อกฎหมายมนุษยธรรม โอลิเวีย หมอและสมาชิกของกลุ่ม Civil Disobedience Movement (CDM) ระบุว่าเธอหวังให้มีรัฐบาลที่มีมนุษยธรรมในทั้งเมียนมาและประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น ไทย ให้ความสำคัญของการสนับสนุนผู้ลี้ภัย เคารพสิทธิมนุษยชนของ มีมี่ วิน เบิร์ด อดีตเจ้าหน้าที่กองทัพเมียนมา แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในรัฐยะไข่ ชี้ให้เห็นว่ากองทัพรัฐบาลทหารกำลังเผชิญวิกฤตทั้งในแง่กำลังพลและประสิทธิภาพ เธอเน้นว่าการบังคับเกณฑ์ทหารยิ่งทำให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบ ขณะที่ประชาชนจำนวนมากเริ่มแปรพักตร์และสนับสนุนการต่อต้านรัฐบาลทหารมากขึ้น อ่านข่าวอื่น : จำคุกครูปรีชา-เจ๊บ้าบิ่น-เจ๊พัชคนละ 2 ปีเบิกความเท็จหวย 30 ล้าน ผบ.ตร.สั่งเอาผิดทุกคนทุกข้อหาคดี"สจ.โต้ง" เพิ่มข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร นายกฯ แถลงผลงาน 90 วัน ยันปี 68 โอกาสของคนไทยลุยเงินดิจิทัล
วันนี้ (8 เม.ย.2568) นางจงกลนี แก้วสด รอง ผอ.องค์การสวนสัตว์แห่งประ เทศไทย เปิดเผยว่าถือเป็นข่าวดีจา
วันนี้ (30 ต.ค.2564) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า วันนี้ (30 ธ.ค.2566) เวลา 03.13 น. เจ้าหน้าที่อุท
ประวัติศาสตร์ของรัฐบาลทหารเมียนมาสามารถย้อนกลับไปได้ถึงปี ค.ศ. 1962 เมื่อ พล.อ.เนวิน ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน และเริ่มต้นการปกครองโดยทหารที่ยืดเยื้อ ประเทศถูกปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการทหารเป็นเวลาหลายทศวรรษ มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน การปราบปรามผู้เห็นต่าง และการควบคุมเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด แม้ในช่วงต้นปี 2010 รัฐบาลทหารจะเปิดทางให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยบางส่วน แต่การยึดอำนาจครั้งล่าสุดในปี 2021 ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงทางการเมืองและการกลับสู่ยุคเผด็จการอีกครั้ง กลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมามีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองและสังคมของประเทศ เมียนมาเป็นประเทศที่มีชนกลุ่มน้อยมากกว่า 135 กลุ่ม โดยกลุ่มใหญ่ ๆ เช่น ชาวกะเหรี่ยง ชาวยะไข่ ชาวฉาน และชาวมอญ ต่างมีวัฒนธรรมและภาษาเป็นเอกลักษณ์ ความไม่เท่าเทียมและการกีดกันชนกลุ่มน้อยในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในเมียนมา หลายกลุ่มได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล โดยมีเป้าหมายเพื่อความเป็นอิสระหรือการปกครองตนเอง ในบริบทของการเรียกร้องประชาธิปไตย การรวมตัวของกลุ่มชาติพันธุ์และประชาชนทั่วไปในการต่อสู้กับรัฐบาลทหารเป็นภาพที่เห็นได้ชัดในช่วงหลังการรัฐประหารปี 2021 การลุกฮือของประชาชนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรงจากรัฐบาลทหาร การใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงและการจับกุมผู้นำทางการเมือง เช่น นางอองซานซูจี สร้างความตกตะลึงและความโกรธแค้นในระดับนานาชาติ รัฐบาลทหารและกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา ถือเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ประวัติศาสตร์การทำรัฐประหารของกองทัพนายพลเนวิน เมื่อปี 1962 ทำให้เมียนมาถูกปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการทหารเป็นเวลาหลายทศวรรษ จนในปี 1988 เกิดการลุกฮือครั้งใหญ่ของประชาชนที่เรียกว่าการปฏิวัติ 8888 (8 ส.ค.1988) ประชาชนออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ถูกปราบปรามอย่างรุนแรงโดยรัฐบาลทหาร ส่งผลให้ พล.อ.ซอหม่อง เข้ามาปกครองประเทศ จากนั้นในปี 1990 การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษถูกจัดขึ้น และพรรค NLD (พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย) ของนางอองซานซูจีชนะอย่างถล่มทลาย แต่ผลการเลือกตั้งไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลทหาร ต้นปี 2010 รัฐบาลทหารเริ่มดำเนินการเปลี่ยนผ่านบางส่วน มีการจัดตั้งรัฐธรรมนูญใหม่และจัดการเลือกตั้งในปี 2015 ซึ่งพรรค NLD ก็ชนะอีกครั้ง นางอองซานซูจีขึ้นมามีบทบาทสำคัญในรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 ก.พ.2021 กองทัพเมียนมาทำรัฐประหารอีกครั้ง โดยอ้างว่าการเลือกตั้งในปี 2020 มีการทุจริต และจับกุมผู้นำทางการเมืองรวมถึงนางอองซานซูจี ส่งผลให้ประเทศกลับสู่การปกครองโดยทหารอีกครั้ง ความขัดแย้งกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมียนมา เป็นปัญหาอีกประเด็นที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน เมียนมามีชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 135 กลุ่ม เช่น ชาวกะเหรี่ยง ชาวยะไข่ ชาวฉาน และชาวมอญ ที่มีความไม่พอใจต่อการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมจากรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม หลายกลุ่มได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลทหาร โดยมีเป้าหมายเพื่อความเป็นอิสระหรือการปกครองตนเอง ตัวอย่างที่เด่นชัดของความขัดแย้งคือการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต่อสู้มาอย่างยาวนานอีกกลุ่มหนึ่งในโลก ปมขัดแย้งมาจากการเรียกร้องสิทธิทางชาติพันธุ์และอัตลักษณ์ รวมถึงความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการพื้นฐาน เช่น การศึกษาและสาธารณสุข อีกกรณีหนึ่งคือวิกฤตโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ซึ่งเริ่มรุนแรงขึ้นในปี 2017 เมื่อชาวโรฮิงญาหลายแสนคนต้องลี้ภัยไปยังบังกลาเทศ ทำให้รัฐบาลเมียนมาถูกกล่าวหาว่ากระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และถูกกดดันจากนานาชาติอย่างหนัก ในบริบทของการเรียกร้องประชาธิปไตย การรวมตัวของกลุ่มชาติพันธุ์และประชาชนเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลทหาร เราจะเห็นภาพชัด ๆ คือช่วงหลังการรัฐประหารปี 2021 การลุกฮือของประชาชนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรงจากรัฐบาลทหาร การใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงและการจับกุมผู้นำทางการเมือง เช่น นางอองซานซูจี สร้างความตกตะลึงและความโกรธแค้นในระดับนานาชาติ ความพยายามในการสร้างสันติภาพในเมียนมามีมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 2010 เมื่อรัฐบาลเริ่มเจรจากับกลุ่มชาติพันธุ์และลงนามในข้อตกลงหยุดยิง อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นที่มีไม่มากพอต่อกัน ระหว่างรัฐบาลและกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงการแทรกแซงของรัฐบาลทหาร ทำให้ความพยายามเหล่านี้ไม่สามารถนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนได้ นอกจากนี้ ปัจจัยระหว่างประเทศยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของเมียนมา ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและไทยมีความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์กับรัฐบาลเมียนมา ขณะที่ชาติตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรเพื่อกดดันรัฐบาลทหาร การสนับสนุนประชาธิปไตยในเมียนมายังคงเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากการแบ่งขั้วทางภูมิรัฐศาสตร์และผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันของประเทศต่าง ๆ สถานการณ์ปัจจุบันของเมียนมา ยังคงมีความไม่สงบและความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ผู้ลี้ภัยหลายแสนคนจากเมียนมาต้องอพยพออกนอกประเทศไปยังเขตชายแดนของไทย บังคลาเทศ และ อินเดีย ขณะที่ผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (IDPs) มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ขาดแคลนอาหาร น้ำสะอาด และยารักษาโรค ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่น มักสะท้อนความทุกข์ยากที่เกิดจากการสูญเสียบ้านและวิถีชีวิต หลายคนแสดงความโกรธแค้นต่อรัฐบาลทหารที่ไม่ยอมรับฟังความต้องการของประชาชน ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับไทยพีบีเอสออนไลน์ กล่าวถึงความหวังในการได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ เพื่อสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลทหารยุติการใช้ความรุนแรงและกลับเข้าสู่เส้นทางของประชาธิปไตย ทางตะวันตกของเมียนมา มี 2 รัฐที่ติดกับชายแดน รัฐที่ 1 เป็นสนับสนุนจีน มีแนวคิดไปทางคอมมิวนิสต์ พวกเขาจึงปิดพรมแดนไม่ให้ชาวเมียนมาลี้ภัยหนีสงคราม ส่วนอีกรัฐหนึ่งก็เปิดให้ชาวเมียนมาอพยพหนีสงครามได้บ้าง ส่วนทางตอนเหนือของเมียนมา แทบไม่มีความหวังเพราะติดกับประเทศจีน พรมแดนปิดตายไม่มีวันเปิดรับ ทางเลือกที่ชาวเมียนมาเหลืออยู่คือ "ประเทศไทย" ด้วยภูมิศาสตร์ที่มีชายแดนต่อเนื่องกันยาวถึง 2,000 กว่ากิโลเมตร สำหรับผู้ลี้ภัยเมียนมา ไทยจึงเสมือนเป็นที่พึ่งทั้งให้ที่พัก การศึกษา งาน และเป็นสถานที่ที่สามารถเรียกร้องประชาธิปไตย ขณะที่ประชาชนที่หลบหนีจากสงครามในเมียนมา สะท้อนความสิ้นหวังจากการสู้รบและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในบ้านเกิด หลายคนเรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศเพิ่มความช่วยเหลือและกดดันรัฐบาลทหารมากขึ้น ผู้ลี้ภัยในพื้นที่ชายแดนยังคงพึ่งพาการสนับสนุนจากชุมชนท้องถิ่นและองค์กรไม่แสวงหากำไร เนื่องจากการสนับสนุนจากรัฐยังมีข้อจำกัด แม้ว่าองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ จะพยายามเข้ามาช่วยแก้ไขวิกฤตในเมียนมา แต่ความพยายามเหล่านี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ทั้งความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจ ความคิดเห็นที่แตกต่างกันเองภายในอาเซียน และการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงของรัฐบาลทหาร ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน สถานการณ์ในเมียนมา เสียงเรียกร้องที่ถูกขัดขวาง "องค์การสหประชาชาติ หรือ UN" ได้แสดงบทบาทในการกดดันรัฐบาลทหารเมียนมา ผ่านการประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงและเปิดเจรจา แต่ UN เองก็ยังไม่สามารถแก้ไขความแตกแยกภายในได้เลย โดยเฉพาะการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและรัสเซียต่อรัฐบาลทหาร มาตรการที่ UN พอทำได้ เช่น การคว่ำบาตร หรือการส่งกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปในพื้นที่ แต่ก็จะถูกขัดขวาง ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ แผนฉันทามติที่ยังไม่บรรลุผล "อาเซียน" ในฐานะองค์กรภูมิภาค พยายามแก้ไขวิกฤตเมียนมาผ่าน "แผนฉันทามติ 5 ข้อ" เน้นการหยุดยิงและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ก็ประสบปัญหาในการดำเนินการ เพราะรัฐบาลทหารเมียนมายังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขสำคัญไม่ได้ เช่น การเจรจาpg 168กับฝ่ายตรงข้ามและองค์กรชาติพันธุ์ นอกจากนี้ ความแตกต่างภายในอาเซียนเองก็เป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินนโยบายที่เป็นเอกภาพ เสียงเรียกร้องที่ไม่หยุดนิ่ง องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เช่น Amnesty International และ Human Rights Watch มีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงและประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา รายงานต่าง ๆ ขององค์กรเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อประชาชน การละเมิดสิทธิมนุษยชนของกลุ่มชาติพันธุ์ และสถานการณ์ของผู้ลี้ภัย นอกจากนี้ องค์กรเหล่านี้ยังได้เรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรรัฐบาลทหาร และสนับสนุนการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดต่อกฎหมายมนุษยธรรม โอลิเวีย หมอและสมาชิกของกลุ่ม Civil Disobedience Movement (CDM) ระบุว่าเธอหวังให้มีรัฐบาลที่มีมนุษยธรรมในทั้งเมียนมาและประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น ไทย ให้ความสำคัญของการสนับสนุนผู้ลี้ภัย เคารพสิทธิมนุษยชนของ มีมี่ วิน เบิร์ด อดีตเจ้าหน้าที่กองทัพเมียนมา แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในรัฐยะไข่ ชี้ให้เห็นว่ากองทัพรัฐบาลทหารกำลังเผชิญวิกฤตทั้งในแง่กำลังพลและประสิทธิภาพ เธอเน้นว่าการบังคับเกณฑ์ทหารยิ่งทำให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบ ขณะที่ประชาชนจำนวนมากเริ่มแปรพักตร์และสนับสนุนการต่อต้านรัฐบาลทหารมากขึ้น อ่านข่าวอื่น : จำคุกครูปรีชา-เจ๊บ้าบิ่น-เจ๊พัชคนละ 2 ปีเบิกความเท็จหวย 30 ล้าน ผบ.ตร.สั่งเอาผิดทุกคนทุกข้อหาคดี"สจ.โต้ง" เพิ่มข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร นายกฯ แถลงผลงาน 90 วัน ยันปี 68 โอกาสของคนไทยลุยเงินดิจิทัล
วันนี้ (23 ก.พ.2565) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ตำรวจหน่วยพิเศษในกรุงอัมสเตอร์ดัมเข้าตรวจสอบเหตุจ