ช่วงฤดูมรสุมมีฝนตกหนักบ่อยครั้งในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ทำให้บนท้องถนนมีหลายจุดที่น้ำท่วมขังหรือมีแอ

วันนี้ (24 ก.ย.2567) นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เผยภายหลังการประชุมชี้แจงแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 ว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ

ช่วงฤดูมรสุมมีฝนตกหนักบ่อยครั้งในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ทำให้บนท้องถนนมีหลายจุดที่น้ำท่วมขังหรือมีแอ่งน้ำ และอาจเป็นเส้นทางที่ไบค์เกอร์มีความจำเป็นต้องขับขี่มอเตอร์ไซค์ผ่าน ในเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องมีเทคนิคการขับขี่มอเตอร์ไซค์ให้ปลอดภัยในช่วงหน้าฝน จะมีอะไรบ้างไปดูกัน 1.ลดความเร็วในการขับ การขี่มอเตอร์ไซค์ในช่วงที่ฝนตก ถนนลื่น ควรขี่ด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อให้ยางของรถสามารถทำการรีดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงความสามารถการยึดเกาะถนนไว้ได้เป็นอย่างดีและปลอดภัยที่สุด หากต้องลุยบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง ผู้ขับขี่ต้องประเมินระดับความสูงของน้ำ ไม่ควรเกินกึ่งหนึ่งของหน้าแข้ง สำหรับมอเตอร์ไซค์ที่เป็นระบบสายพาน ตำแหน่งหน้าแข้งจะใกล้เคียงกับตำแหน่งห้องสายพานพอดี และขับขี่ด้วยความเร็ว 5-10 กม./ชม. หรือไม่เกิน 15 กม./ชม. 2.เพิ่มระยะห่างกับรถคันหน้ามากกว่าปกติ ในช่วงที่ฝนตก น้ำที่ตกลงมาจะไปชะล้างพื้นถนน หรือคราบน้ำมันที่อยู่บนถนน จึงทำให้ถนนลื่น จึงควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าระยะห่างปกติอย่างน้อย 2 เท่า เพื่อเพิ่มระยะการเบรกให้มากขึ้น เนื่องจากถนนเปียกทำให้ประสิทธิภาพในการเกาะถนนลดลง และป้องกันอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3.เบรกรถเป็นระยะ เพื่อไล่น้ำและป้องกันเบรกลื่น ผ้าเบรกสามารถดูดซับน้ำได้หากเปียกจากฝนหรือการลุยน้ำ ควรที่จะเบรกรถโดยย้ำเบรกถี่ๆ เป็นระยะ เพื่อเป็นการไล่น้ำและป้องกันเบรกลื่น และที่สำคัญ "ห้ามเบรกรถอย่างกะทันหันเด็ดขาด" ควรใช้วิธีผ่อนคันเร่งเพื่อชะลอความเร็วของมอเตอร์ไซค์แทนการเบรกทันที แล้วค่อยๆ แตะเบรก หรือ ย้ำเบรกถี่ๆ 4.เลี่ยงแอ่งน้ำทั้งเล็กและใหญ่ หากมองด้วยสายตาอาจไม่รู้ว่า บริเวณน้ำในแอ่งนั้น เป็นเพียงน้ำเกาะผิวถนนหรือเป็นหลุมเป็นบ่อ ซึ่งหากขี่ไปตรงจุดนั้นอาจทำให้รถมีอาการเหินน้ำได้ โดยร้ายแรงที่สุดบ่อหรือหลุมที่มีน้ำขังอาจทำให้รถเสียหลักได้เลย 5.เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม บางในผู้ใช้มอเตอร์ไซค์อาจมีความจำเป็นต้องขับขี่ในช่วงฝนตก สิ่งที่ช่วยเหลือได้ดีคือการเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม อย่างเช่นหมวกกันน็อค หากเราขับขี่ในช่วงฝนตกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในเทคนิคคือการใช้น้ำยาเคลือบชิวหมวกกันน็อค เพื่อให้น้ำไม่เกาะซึ่งอาจส่งผลกับการมองเห็นและทัศนวิสัยในการขับขี่ได้ 1.ตัวกรองอากาศ การขับขี่ลุยน้ำ ลุยฝน หรือน้ำท่วม หม้อกรองอากาศมีอาจยังมีน้ำหลงเหลืออยู่ ดังนั้นควรถอดหม้อกรองอากาศออกมาเพื่อทำความสะอาด หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้น้ำเข้าเครื่องยนต์ได้ 2.หัวเทียน นี่คือชิ้นส่วนสำคัญของรถจักรยานยนต์ที่ต้องทำความสะอาดหลังลุยน้ำ เพื่อไล่ความชื้น และหมั่นตรวจเช็กตรงปลั๊กหัวเทียนว่ามีน้ำขังหรือไม่ ซึ่งถ้าหากมีควนำไปเป่าให้แห้ง เพราะการเป่าลมจะช่วยไล่น้ำออกได้อย่างรวดเร็วที่สุด 3.โซ่ - สายพาน หมั่นตรวจเช็กอย่างสม่ำเสมอ เพราะการขับขี่ลุยน้ำหรือตากฝน อาจทำให้เสื่อมสภาพก่อนอายุการใช้งาน และเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน 4.น้ำมันเครื่อง การขับขี่จักรยายนต์ลุยฝนหรือลุยน้ำ มีโอกาสทำให้น้ำเข้าไปในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้ ควรตรวจเช็กน้ำมันเครื่องให้ละเอียดหลังจากขับมอเตอร์ไซค์ลุยน้ำลุยฝน หากปล่อยทิ้งเอาไว้อาจทำให้ห้องเครื่องเป็นสนิมได้ 5.เบรกและดอกยาง เบรกเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่ควรตรวจเช็กอย่างสม่ำเสมอ ควรถอดผ้าเบรกออกมาทำความสะอาดและไล่น้ำ โดยการเป่า หากไม่ไล่น้ำออกให้หมด อาจทำให้เบรกไม่อยู่ ในส่วนของยางนั้น เป็นจุดเดียวที่สัมผัสกับพื้นถนน หมั่นตรวจเช็กสภาพของดอกยาง และควรใช้ชนิดของยางให้เหมาะสมกับสภาพถนน สถิติบ่งชี้ "มอเตอร์ไซค์" เกิดอุบัติเหตุมากสุดบนท้องถนน รถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนในประเทศไทยมีมากกว่า 20 ล้านคัน มีสัดส่วนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของตัวเลขยานพาหนะทั้งหมดในประเทศ ยอดผู้เสียชีวิตสะสม ปี 2567 จากเซียน บอล 3 ส เต็ ป เทพอุบัติเหตุทางถนน มากกว่า 10,000 ราย โดยสัดส่วนของผู้เสียชีวิตมากจากรถจักยานยนต์กว่า 82 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้ข้อมูลอ้างอิงจาก https://www.thairsc.com/ นอกจากนี้จากสถิติยังบ่งชี้อีกว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ที่ใช้ความเร็วสูงกว่า 80 กม./ชม. เมื่อประสบอุบัติเหตุจะมีโอกาสเสียชีวิตสูง

วันนี้ (4 ต.ค.2566) เพจเฟซบุ๊ก Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความว่า เมื่อวันที่ 3 ต.ค.2566 เกิดเหตุกราดยิงที่ห้างสยามพารากอน มีคนจีนเสียชีวิต 1 รา