โมเดลดูแลผู้สูงวัยอย่างยั่งยืน ที่“ท่างาม” รับมือสังคมสูงอายุ 1 ต.ค. วันผู้สูงอายุสากล มีตัวอย่างดีๆ มาชวนเรียนรู้ เพราะปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งนั่
วันนี้ (19 เม.ย.2565) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะลองโควิด (Long Covid) เนื่องจากพบว่าตอนนี้เริ่มมีผู้ป่วยโควิดที่มีอาการลองโควิด มา
โมเดลดูแลผู้สูงวัยอย่างยั่งยืน ที่“ท่างาม” รับมือสังคมสูงอายุ 1 ต.ค. วันผู้สูงอายุสากล มีตัวอย่างดีๆ มาชวนเรียนรู้ เพราะปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งนั่นเท่ากับว่าประเทศไทย ได้ก้าวสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว โมเดลดูแลผู้สูงวัยอย่างยั่งยืน ที่“ท่างาม” รับมือสังคมสูงอายุ จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าจำนวนและสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2537 มีจำนวนผู้สูงอายุ 4 ล้านคน หรือร้อยละ 6.8 ในปี 2545 มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 5.9 ล้านคนหรือร้อยละ 9.4 ในปี 2550 เพิ่มขึ้นเป็น 7 ล้านคนหรือร้อยละ 10.7 และในปี 2553 จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 11.8 การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของผู้สูงอายุ ทำให้รัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ จึงได้ประกาศให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปีเป็นวันผู้สูงอายุ โดยมี "ดอกลำดวน" เป็นสัญลักษณ์ ขณะที่วันในส่วนของระดับนานาชาติก็ให้ความสำคัญต่อผู้สูงอายุมิใช่น้อย องค์การสหประชาชาติกำหนดให้ทุกวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี เป็น "วันผู้สูงอายุสากล" เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกยังได้กำหนดให้ทุกประเทศต้องให้คงวามสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ช่วยกันส่งเสริมสุขภาพ ผู้สูงอายุ โดยคณะกรรมการอำนวยการวันอนามัยโลก ของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีคำขวัญเป็นภาษาไทย ว่า "ให้ความรัก พิทักษ์อนามัย ผู้สูงวัยอายุยืน"ขณะที่หลายหน่วยงานได้ร่วมกันหาทางออกในการดูแลผู้สูงวัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเหมาะสม เช่น ในตำบลท่างาม อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นตำบลเล็กๆ มีสัดส่วนจำนวนประชากรทั้งหมด 5,000 คน และ 900 คนเป็นผู้สูงอายุ ได้มีการดูแลผู้สูงวัยอย่างเข้าถึงและเป็นระบบ โดยเฉพาะในเรื่องอาคารสถานที่นั้นที่นี่ได้ปรับให้มีความเหมาะสมสำหรับการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย ฐิติพงษ์ ศักดิ์ชัยสมบูรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่างามกล่าวถึงการดูแลผู้สูงอายุในตำบลว่า อบต.ของเราได้ให้ความสำคัญกับเรื่องผู้สูงอายุในตำบลมาก เพราะเราถือว่าคนเฒ่าคนแก่เหล่านั้นท่านเป็นพระในบ้านของพวกเรา เราจึงได้ดำเนินโครงการในหลายส่วนที่จะดูแลคนเฒ่าคนแก่ในท้องที่ของเรา ซึ่งการทำงานของพวกเราเป็นการทำงานร่วมกันกับหลายฝ่าย ทั้งกับสปสช.และมูลนิสถาบันผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย เราได้ดำเนินโครงการในหลายส่วนที่จะช่วยสนับสนุนทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้สูงอายุ ทั้งการจัดกิจกรรมร่วมกัน การส่งอาสาสมัครเข้าไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้านซึ่งเป็นผู้สูงอายุติดเตียง คือป่วยแล้วไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้นั่นเอง และที่สำคัญเราได้ดำเนินปรับปรุงศาลาวัดให้สามารถใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรมของผู้สูงอายุในทุก ๆ กรณีด้วย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่างามระบุฐิติพงษ์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ผู้สูงวัยในตำบลท่างาม ส่วนมากจะเป็นผู้สูงวัยที่ติดสถานที่ ชอบอยู่กับบ้าน การดำเนินงานของอบต.จึงได้ให้ข้อมูลแก่บุตรหลานของผู้สูงวัยในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ทั้งในเรื่องห้องนอน ห้องน้ำ และสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ บ้าน รวมถึงอบต.เองได้มีการปรับปรุงศาลาวัดของตำบลท่างามให้มีความเหมาะสมสำหรับการประกอบกิจกรรมของผู้สูงอายุที่ต้องพบเจอกันทุกอาทิตย์ ทั้งเรื่องของการสวดมนต์และกิจกรรมสันทนาการ เพื่อเป็นอาหารกายและอาหารใจให้กับผู้สูงอายุ และที่สำคัญคือการจัดสรรงบประมาณท้องถิ่นดำเนินโครงการซ่อมแซมบ้านให้กับผู้สูงวัยด้วย ชินวุฒิ อาศน์วิเชียร นักพัฒนาชุมชนเล่าถึงที่มาที่ไปของโครงการซ่อมแซมบ้านให้กับผู้สูงวัยว่า “พัฒนาชุมชนเราและอบต.ได้จัดโครงการซ่อมแซมบ้านของผู้สูงวัยร่วมกันขึ้นโดยคัดเลือกจากบ้านผู้สูงอายุที่ยากจน ในตำบลซึ่งเรามีทั้งหมด 11 หมู่บ้านได้ดำเนินการไปแล้ว 10 หมู่บ้าน โดยใช้งบประมาณในการซ่อมแซมบ้านละ 10,000 บาท ซึ่งการซ่อมแซมบ้านและปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุในแต่ละบ้านที่ได้รับการคัดเลือกนั้นใช้แรงงานของคนในท้องถิ่นมาลงแรงช่วยกันทั้งนั้น นอกจากคนเฒ่าคนแก่จะได้สถานที่ที่เหมาะสมในการดำรงชีวิตแล้วเรายังได้ความรักความสามัคคีของคนในท้องถิ่นด้วย นักพัฒนาชุมชนบอกเล่าด้วยรอยยิ้มอย่างไรก็ตามการดำเนินทุกโครงการในตำบลท่างาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการยึดความต้องการของผู้สูงอายุเป็นศูนย์กลาง โดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ลงพื้นที่สอบถามความต้องการของผู้สูงอายุก่อนที่จะดำเนินการโครงการให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรมโดยใช้รูปแบบของการเก็บข้อมูลของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย( มส.ผส.)มาใช้ จึงทำให้หลายโครงการของที่นี่เข้าถึงความต้องการของผู้สูงอายุและผู้สูงอายุได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง “ เมื่อก่อนเราก็ทำงานของเราในอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งก็เข้าถึงการดูแลผู้สูงอายุในระดับหนึ่ง หากแต่เมื่อไม่นานมานี้เราได้ประสานความร่วมมือจากหลากหลายทำงานทำให้การทำงานของเราเกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการได้รับองค์ความรู้ในเรื่องการเก็บข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย มส.ผส. ที่เข้ามาอบรมวิธีการในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้สูงอายุทำให้เราแบ่งประเภทลักษณะความต้องการของผู้สูงอายุได้ชัดเจนขึ้นและสามารถจัดรูปแบบโครงการให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้สูงอายุได้”นักพัฒนาชุมชนบอกเล่า พ.อ.บุญเลิศ ผาอ่อน ประธานชมรมผู้สูงอายุท่างามบอกเล่าถึงความรู้สึกของผู้สูงอายุในท้องที่ที่ได้รับการบริการในโครงการต่างๆ ของท้องถิ่นว่า “ผมว่าหลาย ๆ โครงการที่เจ้าหน้าที่เขาได้ทำขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากเพราะเหมือนเป็นน้ำที่รดลงบนต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ทำให้ผู้สูงวัยอย่างพวกผมมีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดีขึ้น ได้เจอกันเยอะขึ้นได้พูดคุยในเพื่อนวันเดียวกัน ได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน มันก็เหมือนชีวิตของพวกเราไม่เหงาและมีคุณค่า แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือผู้สูงอายุที่ท่างามนั้นมีจำนวนมากที่ลูกหลานเขาไปทำงานในตัวเมืองไม่มีคนดูแล ต้องอยู่กันลำพัง อันนี้ผมอยากให้หน่วยงานทุกฝ่ายช่วยดูแลเขาอย่างเป็นรูปธรรมด้วยเพราะด้วยสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ลูกหลานเขาไปทำงานไม่ใช่เรื่องผิด เพราะต้องหาเงินมาเข้าบ้าน แต่หน่วยงานที่ดูแลจะต้องช่วยดูแลคนแก่ในส่วนนี้อย่างเป็นรูปธรรมเลยด้วย และเรื่องของการปรับสถานที่หรือการซ่อมแซมบ้านให้กับคนเฒ่าคนแก่ที่ยากจนนั้นผมอยากให้มีการพัฒนาโครงการนี้อีกต่อไปเรื่อยๆ ครับเพราะมันมีประโยชน์กับผู้สูงอายุที่ยากจนมาก ทั้งนี้ การดูแลผู้สูงวัยที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลากหลายฝ่าย คงช่วยบรรเทาและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยที่นี่ได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญและจะสร้างความสุขให้กับผู้สูงวัยได้อย่างแท้จริงคือการดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิด ด้วยความรักและด้วยความจริงใจจากลูกหลานจะเป็นยาเสริมกำลังทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจให้กับผู้สูงอายุ มีความสุขกับชีวิตที่เหลืออย่างมีคุณค่าได้อย่างแท้จริง จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าจำนวนและสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2537 มีจำนวนผู้สูงอายุ 4 ล้านคน หรือร้อยละ 6.8 ในปี 2545 มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 5.9 ล้านคนหรือร้อยละ 9.4 ในปี 2550 เพิ่มขึ้นเป็น 7 ล้านคนหรือร้อยละ 10.7 และในปี 2553 จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 11.8 การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของผู้สูงอายุ ทำให้รัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ จึงได้ประกาศให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปีเป็นวันผู้สูงอายุ โดยมี "ดอกลำดวน" เป็นสัญลักษณ์ ขณะที่วันในส่วนของระดับนานาชาติก็ให้ความสำคัญต่อผู้สูงอายุมิใช่น้อย องค์การสหประชาชาติกำหนดให้ทุกวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี เป็น "วันผู้สูงอายุสากล" เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกยังได้กำหนดให้ทุกประเทศต้องให้คงวามสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ช่วยกันส่งเสริมสุขภาพ ผู้สูงอายุ โดยคณะกรรมการอำนวยการวันอนามัยโลก ของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีคำขวัญเป็นภาษาไทย ว่า "ให้ความรัก พิทักษ์อนามัย ผู้สูงวัยอายุยืน"ขณะที่หลายหน่วยงานได้ร่วมกันหาทางออกในการดูแลผู้สูงวัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเหมาะสม เช่น ในตำบลท่างาม อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นตำบลเล็กๆ มีสัดส่วนจำนวนประชากรทั้งหมด 5,000 คน และ 900 คนเป็นผู้สูงอายุ ได้มีการดูแลผู้สูงวัยอย่างเข้าถึงและเป็นระบบ โดยเฉพาะในเรื่องอาคารสถานที่นั้นที่นี่ได้ปรับให้มีความเหมาะสมสำหรับการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย ฐิติพงษ์ ศักดิ์ชัยสมบูรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่างามกล่าวถึงการดูแลผู้สูงอายุในตำบลว่า อบต.ของเราได้ให้ความสำคัญกับเรื่องผู้สูงอายุในตำบลมาก เพราะเราถือว่าคนเฒ่าคนแก่เหล่านั้นท่านเป็นพระในบ้านของพวกเรา เราจึงได้ดำเนินโครงการในหลายส่วนที่จะดูแลคนเฒ่าคนแก่ในท้องที่ของเรา ซึ่งการทำงานของพวกเราเป็นการทำงานร่วมกันกับหลายฝ่าย ทั้งกับสปสช.และมูลนิสถาบันผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย เราได้ดำเนินโครงการในหลายส่วนที่จะช่วยสนับสนุนทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้สูงอายุ ทั้งการจัดกิจกรรมร่วมกัน การส่งอาสาสมัครเข้าไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้านซึ่งเป็นผู้สูงอายุติดเตียง คือป่วยแล้วไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้นั่นเอง และที่สำคัญเราได้ดำเนินปรับปรุงศาลาวัดให้สามารถใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรมของผู้สูงอายุในทุก ๆ กรณีด้วย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่างามระบุฐิติพงษ์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ผู้สูงวัยในตำบลท่างาม ส่วนมากจะเป็นผู้สูงวัยที่ติดสถานที่ ชอบอยู่กับบ้าน การดำเนินงานของอบต.จึงได้ให้ข้อมูลแก่บุตรหลานของผู้สูงวัยในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ทั้งในเรื่องห้องนอน ห้องน้ำ และสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ บ้าน รวมถึงอบต.เองได้มีการปรับปรุงศาลาวัดของตำบลท่างามให้มีความเหมาะสมสำหรับการประกอบกิจกรรมของผู้สูงอายุที่ต้องพบเจอกันทุกอาทิตย์ ทั้งเรื่องของการสวดมนต์และกิจกรรมสันทนาการ เพื่อเป็นอาหารกายและอาหารใจให้กับผู้สูงอายุ และที่slot online ฟรี เครดิต 2020โหลด 198 kissสำคัญคือการจัดสรรงบประมาณท้องถิ่นดำเนินโครงการซ่อมแซมบ้านให้กับผู้สูงวัยด้วย ชินวุฒิ อาศน์วิเชียร นักพัฒนาชุมชนเล่าถึงที่มาที่ไปของโครงการซ่อมแซมบ้านให้กับผู้สูงวัยว่า “พัฒนาชุมชนเราและอบต.ได้จัดโครงการซ่อมแซมบ้านของผู้สูงวัยร่วมกันขึ้นโดยคัดเลือกจากบ้านผู้สูงอายุที่ยากจน ในตำบลซึ่งเรามีทั้งหมด 11 หมู่บ้านได้ดำเนินการไปแล้ว 10 หมู่บ้าน โดยใช้งบประมาณในการซ่อมแซมบ้านละ 10,000 บาท ซึ่งการซ่อมแซมบ้านและปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุในแต่ละบ้านที่ได้รับการคัดเลือกนั้นใช้แรงงานของคนในท้องถิ่นมาลงแรงช่วยกันทั้งนั้น นอกจากคนเฒ่าคนแก่จะได้สถานที่ที่เหมาะสมในการดำรงชีวิตแล้วเรายังได้ความรักความสามัคคีของคนในท้องถิ่นด้วย นักพัฒนาชุมชนบอกเล่าด้วยรอยยิ้มอย่างไรก็ตามการดำเนินทุกโครงการในตำบลท่างาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการยึดความต้องการของผู้สูงอายุเป็นศูนย์กลาง โดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ลงพื้นที่สอบถามความต้องการของผู้สูงอายุก่อนที่จะดำเนินการโครงการให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรมโดยใช้รูปแบบของการเก็บข้อมูลของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย( มส.ผส.)มาใช้ จึงทำให้หลายโครงการของที่นี่เข้าถึงความต้องการของผู้สูงอายุและผู้สูงอายุได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง “ เมื่อก่อนเราก็ทำงานของเราในอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งก็เข้าถึงการดูแลผู้สูงอายุในระดับหนึ่ง หากแต่เมื่อไม่นานมานี้เราได้ประสานความร่วมมือจากหลากหลายทำงานทำให้การทำงานของเราเกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการได้รับองค์ความรู้ในเรื่องการเก็บข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย มส.ผส. ที่เข้ามาอบรมวิธีการในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้สูงอายุทำให้เราแบ่งประเภทลักษณะความต้องการของผู้สูงอายุได้ชัดเจนขึ้นและสามารถจัดรูปแบบโครงการให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้สูงอายุได้”นักพัฒนาชุมชนบอกเล่า พ.อ.บุญเลิศ ผาอ่อน ประธานชมรมผู้สูงอายุท่างามบอกเล่าถึงความรู้สึกของผู้สูงอายุในท้องที่ที่ได้รับการบริการในโครงการต่างๆ ของท้องถิ่นว่า “ผมว่าหลาย ๆ โครงการที่เจ้าหน้าที่เขาได้ทำขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากเพราะเหมือนเป็นน้ำที่รดลงบนต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ทำให้ผู้สูงวัยอย่างพวกผมมีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดีขึ้น ได้เจอกันเยอะขึ้นได้พูดคุยในเพื่อนวันเดียวกัน ได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน มันก็เหมือนชีวิตของพวกเราไม่เหงาและมีคุณค่า แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือผู้สูงอายุที่ท่างามนั้นมีจำนวนมากที่ลูกหลานเขาไปทำงานในตัวเมืองไม่มีคนดูแล ต้องอยู่กันลำพัง อันนี้ผมอยากให้หน่วยงานทุกฝ่ายช่วยดูแลเขาอย่างเป็นรูปธรรมด้วยเพราะด้วยสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ลูกหลานเขาไปทำงานไม่ใช่เรื่องผิด เพราะต้องหาเงินมาเข้าบ้าน แต่หน่วยงานที่ดูแลจะต้องช่วยดูแลคนแก่ในส่วนนี้อย่างเป็นรูปธรรมเลยด้วย และเรื่องของการปรับสถานที่หรือการซ่อมแซมบ้านให้กับคนเฒ่าคนแก่ที่ยากจนนั้นผมอยากให้มีการพัฒนาโครงการนี้อีกต่อไปเรื่อยๆ ครับเพราะมันมีประโยชน์กับผู้สูงอายุที่ยากจนมาก ทั้งนี้ การดูแลผู้สูงวัยที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลากหลายฝ่าย คงช่วยบรรเทาและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยที่นี่ได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญและจะสร้างความสุขให้กับผู้สูงวัยได้อย่างแท้จริงคือการดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิด ด้วยความรักและด้วยความจริงใจจากลูกหลานจะเป็นยาเสริมกำลังทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจให้กับผู้สูงอายุ มีความสุขกับชีวิตที่เหลืออย่างมีคุณค่าได้อย่างแท้จริง
วันที่ 28 ธ.ค.2566 จากกรณีถึงการแชร์ประสบการณ์ ของผู้เข้าอบรมมรรยาทและจริยธรรมทนายความและพิธีมอบประกาศนียบัตรผู้ผ่านการฝึกอบรมวิชาว่าความ รุ่นที่ 60 และกรณีผู้ผ่านการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความมาแล้วไ
วันนี้ (12 เม.ย.2566) ช่วงเช้าวานนี้ (11 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น เครื่องบินของกองทัพเมียนมาทิ้งระเบิด