วันนี้ (1 พ.ค.2566) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่าจากสถานการณ์วาตภัย ช่วงวันที่ 29-30 mvegus1682 memberbet net main
ใครบ้างที่เคยคุยกับสิริ (Siri) แก้เหงา และใครบ้างที่เคยคุยกับสิริแล้วโดนตอบกลับมาว่า “ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร” ทำให้บางทีเราไม่สามารถหาคำตอบได้ทุกเรื่องจากสิริ แต่เพื่อนเล่นแก้เหงาคนใหม่ที่ชื่
วันนี้ (7 มิ.ย.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านหนองพะวา 15 คน พร้อมทนายความด้านสิ่งแวดล้อมและมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้เดินทางไปศาลจังหวัดระยอง เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัท วินโพรเลส จำกัด กับพวก ให้เยียวยาความ ที่ปนเปื้อนมลพิษรั่วไหลออกจากโรงงาน เสียหาย และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ที่ศาลจังหวัดระยอง โดยจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 3 คน คือกรรมการผู้มีอำนาจลงนามและเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นจำเลยที่ 2 และผู้ที่เคยเป็นกรรมการของบริษัทในระหว่างที่เกิดการกระทำละเมิด พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 เป็นจำเลยที่ 3 จุดประสงค์ของการยื่นฟ้องคดีครั้งนี้ โจทก์ทั้ง 15 คน มีความประสงค์ที่จะขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกัน หรือแทนกัน ฟื้นฟูสภาพแหล่งน้ำในพื้นที่โรงงานที่เป็นสถานประกอบกิจการของจำเลยที่ 1 มิให้มีการรั่วไหลปนเปื้อนของสารเคมีหรือวัตถุอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และเข้าฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในบริเวณที่ดินของโจทก์ทั้ง 15 คน รวมถึงเส้นทางน้ำสาธารณะและหนองพะวา ที่เป็นแหล่งน้ำสาธารณะ ตลอดจนทางน้ำที่เชื่อมต่อไปสู่ที่ดินแปลงอื่นๆ ให้มีสภาพเดิม ไม่มีกลิ่นเหม็น และให้มีคุณภาพน้ำและดิน ตามมาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้การเรียกค่าเยียวยาความเสียหายของโจทก์แต่ละคนแตกต่างกันตามความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยมีค่าเสียหายรวมทั้งหมด 47 ล้านบาท สำหรับโจทก์ที่ 1 คือ นายเทียบ สมานมิตร ซึ่งประกอบ 2 อาชีพเกษตรกร ประเภทสวนยาง มีที่ดินตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของที่ตั้งโรงงาน ของจำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายจากน้ำเสีย ที่มีสภาพความเป็นกรดสูง ที่รั่วไหลออกจากโรงงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เสียหายหนักมากที่สุด กล่าวคือนายเทียบ สมานมิตร สูญเสียต้นยางที่ยืนต้นตายไป 1,450 ต้น บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ สระน้ำที่ใช้เพื่อการเกษตรเสียหาย เพราะปนเปื้อนสารมลพิษ นอกจากนี้กลิ่นเหม็นของสารเคมีที่เกิดขึ้นทุกวัน ยังส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ จนต้องละทิ้งบ้านที่อาศัยอยู่เดิม ไปอยู่แห่งใหม่ รวมถึงที่ดินกว่า 20 ไร่ ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรอีกต่อไป และได้คิดค่าเสื่อมสภาพ ในการฟ้องคดีครั้งนี้ รวมค่าเสียหายเฉพาะของนายเทียบที่เกิดขึ้นทั้งหมดประมาณ 8,500,000 บาท ผลกระทบจากโรงงานนี้ มีมาตั้งแต่ที่โรงงานเริ่มเข้ามาตั้งในปี 2553 ซึ่งตอนนั้น เราได้กลิ่นเหม็น ที่มาจากฝั่งโรงงานทุกวัน ต่อมาในปี 2556 เริ่มพบว่า น้ำเริ่มเสียและมีน้ำเสียรั่วไหลออกมาจากโรงงานตลอด พอประมาณปี 2560 ต้นยางที่อยู่ใกล้บ่อน้ำรับน้ำเสียของโรงงานเริ่มตาย หลังจากนั้นต้นยางที่ตายก็ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ พอมาปี 2563 ต้นยางก็ตายไปเยอะมาก ทั้งหมดนี้เกิดจากน้ำเสียของโรงงานที่ไหลลงมาแถบหมู่บ้าน ทำให้สระน้ำมีสีและกลิ่นเปลี่ยนไปมาก ทั้งทุ่งนาและแหล่งน้ำใช้อะไรไม่ได้เลย นานมาจนถึงทุกวันนี้พวกเราก็ยังเดือดร้อน นอกจากนายเทียบแล้ว ผู้ยื่นฟ้องอีก 14 รายต่างก็สูญเสียที่ดินและรายได้ทางการเกษตรคล้ายๆ กัน ไม่เฉพาะต้นยางพาราที่ยืนต้นตายเท่านั้น ยังมีต้นทุเรียน ต้นมังคุด ต้นหมาก ทรัพยากรทางการเกษตร และการทำประมงเลี้ยงปลาที่เสียหาย เพราะกิจการอันตรายของทางบริษัท บริษัท วินโพรเสส จำกัด ยื่นใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานคัดแยกและฝังกลบของเสีย (โรงงานลำดับ 105) จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อเดือนตุลาคม 2554 เมื่อชาวบ้านทราบข่าว จึงออกมาคัดค้าน และในการประชุมรับฟังความเห็นของประชาชน มีสมาชิกชุมชนที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งโรงงานคัดแยกของเสียจำนวน 213 คน จากทั้งหมด 218 คน ทำให้บริษัทยังไม่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการดังกล่าว ต่อมาประชาชนในพื้นที่พบว่า โรงงานมีการลักลอบประกอบกิจการ เริ่มมีปัญหากลิ่นเหม็น เสียงดัง และปัญหาน้ำเสียไหลจากโรงงาน จึงมีการร้องเรียนหลายครั้งเพื่อขอให้หน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่องการลอบฝังกลบขยะ ในพื้นที่โรงงานด้วย ในปี 2556 ผู้ว่าราชการจังหวัดเคยมีคำสั่งให้บริษัทหยุดลักลอบฝังกลบ และให้ขนย้ายของเสีย ทั้งประเภทอันตรายและไม่อันตรายออกจากพื้นที่ และทำหนังสือแจ้งอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรงให้ทราบ แต่ทางบริษัทก็ไม่ดำเนินการ ขนย้ายของเสียออกจากพื้นที่โรงงานตามคำสั่ง ขณะเดียวกันกรมโรงงานอุตสาหกรรม ก็ไม่ตรวจสอบกระทำผิดและไม่ดำเนินการตามกฎหมาย ที่ทางบริษัทฝ่าฝืนพระราชบัญญัติโรงงาน ที่มีการประกอบกิจการโดยไม่มี ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ทั้งการเก็บ คัดแยก หลอมหล่อเศษพลาสติก เศษเหล็ก ผงเหล็ก การหล่อหลอมเศษโลหะต่างๆ การรีไซเคิลกากสี น้ำมันเครื่องใช้แล้ว การคืนสภาพกรดด่าง การทำเชื้อเพลิงผสม การล้างภาชนะบรรจุภัณฑ์ด้วยตัวทำละลาย ผลการร้องเรียนของประชาชน ทำให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานไตรภาคีเพื่อการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบการของ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด ขึ้น และเริ่มมีประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 โดยมีปลัดอำเภอบ้านค่าย เป็นประธาน และมีหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง กรมโรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอบ้านค่าย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางบุตร สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 (ชลบุรี) และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนจากบริษัท ร่วมอยู่ในคณะทำงาน ทำให้มีการตรวจสอบและพบหลักฐานการกระทำผิดที่ชัดเจนของทางบริษัท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทางบริษัทต้องขอยกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการทุกโรงงานเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 อย่างไรก็ดีผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้างขวาง โดยเฉพาะการปนเปื้อนสารมลพิษในพื้นที่เกษตรและสิ่งแวดล้อม รวมถึงความเสียหายของประชาชนยังไม่ได้รับการเยียวยา โจทก์ทั้ง 15 คนจึงตัดสินใจที่จะฟ้องคดี เพื่อให้มีการเยียวยาความเสียหายและมีการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น รวมถึงเพื่อเป็นตัวอย่างในการต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนอื่นๆ ต่อไป สนิท มณีศรี หนึ่งในผู้ยื่นฟ้อง กล่าวว่า ในการฟ้องคดีนี้ สิ่งที่พวกเราหวังกันมากที่สุดคือขอให้มีการเริ่มฟื้นฟู ซึ่งเรารู้ว่าการฟื้นฟูมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพื้นที่มันเสียหายกว้างขวางและรุนแรงมาก แต่ชาวบ้านเห็นว่านี้คือสิ่งที่ต้องทำ เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้น หากไม่มีการแก้ไขหยุดยั้ง ผลกระทบมันจะไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน หลักฐานต่างๆ ที่รวบรวมได้ปรากฏชัดว่าบริษัท วินโพรเสส มีความผิดฐานละเมิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 และพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายประจำฝ่ายโจทก์ ซึ่งเคยลงพื้นที่ไปตรวจสอบเมื่อปี2561 เปิดเผยว่า ทันทีที่ลงไปเหยียบในพื้นที่ จะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวรุนแรงขึ้นมาทันทีคล้ายกลิ่นแบตเตอรี่ และเมื่อดูสภาพของพืชที่ตาย ก็จะสังเกตได้ว่า น้ำและดินในบริเวณนั้นมีฤทธิ์เป็นกรดสูง จึงเชื่อว่ามีการปนเปื้อนของสารเคมีลงไปในดินและน้ำในปริมาณมาก จึงแปลกใจว่า ทำไมถึงยังไม่ถูกลงโทษอย่างเด็ดขาด จากหน่วยงานต่างๆที่มีหน้าที่กำกับดูแล เมื่อเป็นเช่นนี้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ สามารถใช้ช่องทางทางกฎหมายฟ้องทางแพ่งกับทางโรงงานได้เพราะการที่โรงงานถูกสั่งห้ามประกอบกิจการ หรือติดต่อเพื่อขอเยียวยาประชาชน หมายถึงยอมรับเป็นผู้ก่อให้เกิดมลพิษ ส่งผลให้คดีนี้มีประชาชนมายื่นฟ้องในจำนวนที่ไม่มากพอ ทั้งที่มีจำนวนผู้เสียหาย มากกว่าที่ฟ้องคดีในวันนี้ จึงอยากฝากถึงผู้ที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทางการพิจารณาคดีด้านสิ่งแวดล้อม อยากขอให้มีการส่งเสริมให้ประชาชนใช้สิทธิ์ ในทางคดีด้านสิ่งแวดล้อม โดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิ์ด้านนี้มากขึ้นและจะได้เป็นการป้องปรามผู้ประกอบการ หรือผู้คิดที่จะทำลายสิ่งแวดล้อมให้ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น หากประชาชนสามารถฟ้องคดีและเข้าถึงสิทธิ์นี้ได้อย่างทั่วถึงก็จะเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก ด้านมูลนิธิบูรณะนิเวศ ซึ่งได้ติดตามปัญหานี้มาตั้งแต่ต้น และเข้ามาสนับสนุนชุมชนหนองพะวาในการพิสูจน์ปัญหาการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2561 ได้สนับสนุนการฟ้องคดีของโจทก์ทั้ง 15 คน เนื่องจากพบว่า กรณีนี้มีข้อน่าสงสัยถึงการกระทำผิดของฝ่ายบริษัท โดยการละเลยในการปฏิบัติหน้าที่หน่วยงานที่กำกับดูแลคือ กรมโรงงานอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมจังหวัดมาตั้งแต่ปี 2554 น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง กล่าวว่า เรื่องนี้มีคำถามหลายประเด็นที่หน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะกรมโรงงานอุตสาหกรรม ควรรับผิดชอบ และมีการตรวจสอบเพื่อหาผู้กระทำผิดร่วมต่อไป เช่น 1.บริษัทนี้เพิ่งได้ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน 2 ใบ คือ กิจการเกี่ยวกับการอัดเศษกระดาษ และหล่อหลอมโลหะเมื่อปี2560 แต่ชุมชนในพื้นที่พบว่า โรงงานเปิดดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปลายปี 2554 โดยที่ประชาชนก็คัดค้าน จนทำให้เกิดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรของชาวบ้าน ตั้งแต่ปลายปี2554 เป็นต้นมา 2.มีเจ้าหน้าที่ของอุตสาหกรรมจังหวัดและกรมโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงเจ้าหน้าที่อื่นๆ เข้าไป ตรวจสอบหลายครั้งตั้งแต่ปี 2556 และพบว่า โรงงานครอบครองวัตถุอันตรายจำนวนมาก โดยเฉพาะน้ำมันหล่อลื่นที่ใช้แล้ว แต่ทางโรงงานก็ไม่สามารถแสดงใบอนุญาตครอบครองวัตถุอันตราย ทั้งที่เจ้าหน้าที่ถามหาหลายครั้ง นอกจากนี้ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการนำสารเคมีพิษมาบำบัด เหตุใดเจ้าหน้าที่จึงเพิ่งไปแจ้งความเอาผิดกับทางบริษัทเดือนมิถุนายน 2563 คำสั่งหรือโทษหนักสุดที่อุตสาหกรรมจังหวัดเคย สั่งการออกมาคือ ให้บริษัทหยุดประกอบกิจการชั่วคราวโดยไม่มีการลงโทษทางกฎหมาย ทั้งที่พบว่าบริษัท กระทำผิดหลายข้อและผลกระทบที่เกิดขึ้นก็รุนแรงชัดเจนมาก 3.โรงงานครอบครองวัตถุอันตรายจำนวนมาก แต่ไม่มีเครื่องจักรสำหรับการรีไซเคิลของเสีย และเมื่อเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นอื่นๆ พบเห็นแล้วทำไมจึงไม่ดำเนินการเอาผิดกับทางบริษัท เช่น ควรสั่งการให้ขนส่งไปกำจัดให้ถูกต้อง และห้ามนำของเสียอันตรายเข้ามาในพื้นที่โรงงานอีก แต่มีเพียงคำสั่งให้ปรับปรุงการดำเนินการโดยที่ไม่พบว่าไม่เครื่องจักรให้ปรับปรุงแต่อย่าmvegus1682 memberbet net mainงใด 4.การตรวจพบว่าในพื้นที่โรงงาน มีการเก็บกากอุตสาหกรรมที่เป็นของเสียอันตรายจำนวนมาก เช่น กากตะกอนน้ำมัน กากสี น้ำใช้แล้ว กากสารเคมี และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและส่งกากให้แก่บริษัทนี้คือกลุ่มอุตสาหกรรมอันตราย ซึ่งตามกฎหมายแล้วจะต้องแจ้งหรือแสดงปริมาณกาก การขนออกนอกพื้นที่โรงงาน สถานบำบัดกำจัดและวิธีการบำบัดกำจัด รวมถึงชื่อบริษัทขนส่งและบริษัทที่รับบำบัดอย่างละเอียด พฤติการณ์ของบริษัท วินโพรเสส สะท้อนถึงการกระทำผิดร่วมของโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านั้น ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม จำเป็นต้องสืบสาวเรื่องอย่างต่อเนื่องว่า มีโรงงานใด บริษัทใด ในจังหวัดระยองหรือจังหวัดอื่น ที่มีส่วนในการกระทำผิดกฎหมาย ว่าด้วยการกำจัดและบำบัดของเสียอุตสาหกรรมอันตราย ที่มีการกักเก็บอยู่ในโรงงานของบริษัทแห่งนี้ด้วย แต่ทำไมจึงไม่มีการสืบสาวและสอบสวนในเรื่องนี้ กรณีการกระทำผิดของบริษัท วินโพรเสส จำกัด ไม่ใช่ความผิดเชิงประจักษ์ของบริษัทแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการกระทำผิดร่วมที่มองไม่เห็นของอีกหลายบริษัท รวมถึงการละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมด้วย
วันนี้ (9 พ.ค.2565) กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศฉบับที่ 7 เรื่อง พายุ “อัสนี” บริเวณอ่าวเบงกอล โดยมีรา
mvegus1682 memberbet net main
วันนี้ (1 พ.ค.2566) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่าจากสถานการณ์วาตภัย ช่วงวันที่ 29-30 mvegus1682 memberbet net main
ใครบ้างที่เคยคุยกับสิริ (Siri) แก้เหงา และใครบ้างที่เคยคุยกับสิริแล้วโดนตอบกลับมาว่า “ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร” ทำให้บางทีเราไม่สามารถหาคำตอบได้ทุกเรื่องจากสิริ แต่เพื่อนเล่นแก้เหงาคนใหม่ที่ชื่
วันนี้ (7 มิ.ย.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านหนองพะวา 15 คน พร้อมทนายความด้านสิ่งแวดล้อมและมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้เดินทางไปศาลจังหวัดระยอง เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัท วินโพรเลส จำกัด กับพวก ให้เยียวยาความ ที่ปนเปื้อนมลพิษรั่วไหลออกจากโรงงาน เสียหาย และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ที่ศาลจังหวัดระยอง โดยจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 3 คน คือกรรมการผู้มีอำนาจลงนามและเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นจำเลยที่ 2 และผู้ที่เคยเป็นกรรมการของบริษัทในระหว่างที่เกิดการกระทำละเมิด พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 เป็นจำเลยที่ 3 จุดประสงค์ของการยื่นฟ้องคดีครั้งนี้ โจทก์ทั้ง 15 คน มีความประสงค์ที่จะขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกัน หรือแทนกัน ฟื้นฟูสภาพแหล่งน้ำในพื้นที่โรงงานที่เป็นสถานประกอบกิจการของจำเลยที่ 1 มิให้มีการรั่วไหลปนเปื้อนของสารเคมีหรือวัตถุอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และเข้าฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในบริเวณที่ดินของโจทก์ทั้ง 15 คน รวมถึงเส้นทางน้ำสาธารณะและหนองพะวา ที่เป็นแหล่งน้ำสาธารณะ ตลอดจนทางน้ำที่เชื่อมต่อไปสู่ที่ดินแปลงอื่นๆ ให้มีสภาพเดิม ไม่มีกลิ่นเหม็น และให้มีคุณภาพน้ำและดิน ตามมาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้การเรียกค่าเยียวยาความเสียหายของโจทก์แต่ละคนแตกต่างกันตามความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยมีค่าเสียหายรวมทั้งหมด 47 ล้านบาท สำหรับโจทก์ที่ 1 คือ นายเทียบ สมานมิตร ซึ่งประกอบ 2 อาชีพเกษตรกร ประเภทสวนยาง มีที่ดินตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของที่ตั้งโรงงาน ของจำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายจากน้ำเสีย ที่มีสภาพความเป็นกรดสูง ที่รั่วไหลออกจากโรงงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เสียหายหนักมากที่สุด กล่าวคือนายเทียบ สมานมิตร สูญเสียต้นยางที่ยืนต้นตายไป 1,450 ต้น บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ สระน้ำที่ใช้เพื่อการเกษตรเสียหาย เพราะปนเปื้อนสารมลพิษ นอกจากนี้กลิ่นเหม็นของสารเคมีที่เกิดขึ้นทุกวัน ยังส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ จนต้องละทิ้งบ้านที่อาศัยอยู่เดิม ไปอยู่แห่งใหม่ รวมถึงที่ดินกว่า 20 ไร่ ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรอีกต่อไป และได้คิดค่าเสื่อมสภาพ ในการฟ้องคดีครั้งนี้ รวมค่าเสียหายเฉพาะของนายเทียบที่เกิดขึ้นทั้งหมดประมาณ 8,500,000 บาท ผลกระทบจากโรงงานนี้ มีมาตั้งแต่ที่โรงงานเริ่มเข้ามาตั้งในปี 2553 ซึ่งตอนนั้น เราได้กลิ่นเหม็น ที่มาจากฝั่งโรงงานทุกวัน ต่อมาในปี 2556 เริ่มพบว่า น้ำเริ่มเสียและมีน้ำเสียรั่วไหลออกมาจากโรงงานตลอด พอประมาณปี 2560 ต้นยางที่อยู่ใกล้บ่อน้ำรับน้ำเสียของโรงงานเริ่มตาย หลังจากนั้นต้นยางที่ตายก็ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ พอมาปี 2563 ต้นยางก็ตายไปเยอะมาก ทั้งหมดนี้เกิดจากน้ำเสียของโรงงานที่ไหลลงมาแถบหมู่บ้าน ทำให้สระน้ำมีสีและกลิ่นเปลี่ยนไปมาก ทั้งทุ่งนาและแหล่งน้ำใช้อะไรไม่ได้เลย นานมาจนถึงทุกวันนี้พวกเราก็ยังเดือดร้อน นอกจากนายเทียบแล้ว ผู้ยื่นฟ้องอีก 14 รายต่างก็สูญเสียที่ดินและรายได้ทางการเกษตรคล้ายๆ กัน ไม่เฉพาะต้นยางพาราที่ยืนต้นตายเท่านั้น ยังมีต้นทุเรียน ต้นมังคุด ต้นหมาก ทรัพยากรทางการเกษตร และการทำประมงเลี้ยงปลาที่เสียหาย เพราะกิจการอันตรายของทางบริษัท บริษัท วินโพรเสส จำกัด ยื่นใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานคัดแยกและฝังกลบของเสีย (โรงงานลำดับ 105) จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อเดือนตุลาคม 2554 เมื่อชาวบ้านทราบข่าว จึงออกมาคัดค้าน และในการประชุมรับฟังความเห็นของประชาชน มีสมาชิกชุมชนที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งโรงงานคัดแยกของเสียจำนวน 213 คน จากทั้งหมด 218 คน ทำให้บริษัทยังไม่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการดังกล่าว ต่อมาประชาชนในพื้นที่พบว่า โรงงานมีการลักลอบประกอบกิจการ เริ่มมีปัญหากลิ่นเหม็น เสียงดัง และปัญหาน้ำเสียไหลจากโรงงาน จึงมีการร้องเรียนหลายครั้งเพื่อขอให้หน่วยงานในพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่องการลอบฝังกลบขยะ ในพื้นที่โรงงานด้วย ในปี 2556 ผู้ว่าราชการจังหวัดเคยมีคำสั่งให้บริษัทหยุดลักลอบฝังกลบ และให้ขนย้ายของเสีย ทั้งประเภทอันตรายและไม่อันตรายออกจากพื้นที่ และทำหนังสือแจ้งอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรงให้ทราบ แต่ทางบริษัทก็ไม่ดำเนินการ ขนย้ายของเสียออกจากพื้นที่โรงงานตามคำสั่ง ขณะเดียวกันกรมโรงงานอุตสาหกรรม ก็ไม่ตรวจสอบกระทำผิดและไม่ดำเนินการตามกฎหมาย ที่ทางบริษัทฝ่าฝืนพระราชบัญญัติโรงงาน ที่มีการประกอบกิจการโดยไม่มี ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ทั้งการเก็บ คัดแยก หลอมหล่อเศษพลาสติก เศษเหล็ก ผงเหล็ก การหล่อหลอมเศษโลหะต่างๆ การรีไซเคิลกากสี น้ำมันเครื่องใช้แล้ว การคืนสภาพกรดด่าง การทำเชื้อเพลิงผสม การล้างภาชนะบรรจุภัณฑ์ด้วยตัวทำละลาย ผลการร้องเรียนของประชาชน ทำให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานไตรภาคีเพื่อการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบการของ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด ขึ้น และเริ่มมีประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 โดยมีปลัดอำเภอบ้านค่าย เป็นประธาน และมีหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง กรมโรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอบ้านค่าย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางบุตร สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 (ชลบุรี) และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนจากบริษัท ร่วมอยู่ในคณะทำงาน ทำให้มีการตรวจสอบและพบหลักฐานการกระทำผิดที่ชัดเจนของทางบริษัท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทางบริษัทต้องขอยกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการทุกโรงงานเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 อย่างไรก็ดีผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้างขวาง โดยเฉพาะการปนเปื้อนสารมลพิษในพื้นที่เกษตรและสิ่งแวดล้อม รวมถึงความเสียหายของประชาชนยังไม่ได้รับการเยียวยา โจทก์ทั้ง 15 คนจึงตัดสินใจที่จะฟ้องคดี เพื่อให้มีการเยียวยาความเสียหายและมีการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น รวมถึงเพื่อเป็นตัวอย่างในการต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนอื่นๆ ต่อไป สนิท มณีศรี หนึ่งในผู้ยื่นฟ้อง กล่าวว่า ในการฟ้องคดีนี้ สิ่งที่พวกเราหวังกันมากที่สุดคือขอให้มีการเริ่มฟื้นฟู ซึ่งเรารู้ว่าการฟื้นฟูมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพื้นที่มันเสียหายกว้างขวางและรุนแรงมาก แต่ชาวบ้านเห็นว่านี้คือสิ่งที่ต้องทำ เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้น หากไม่มีการแก้ไขหยุดยั้ง ผลกระทบมันจะไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน หลักฐานต่างๆ ที่รวบรวมได้ปรากฏชัดว่าบริษัท วินโพรเสส มีความผิดฐานละเมิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 และพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายประจำฝ่ายโจทก์ ซึ่งเคยลงพื้นที่ไปตรวจสอบเมื่อปี2561 เปิดเผยว่า ทันทีที่ลงไปเหยียบในพื้นที่ จะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวรุนแรงขึ้นมาทันทีคล้ายกลิ่นแบตเตอรี่ และเมื่อดูสภาพของพืชที่ตาย ก็จะสังเกตได้ว่า น้ำและดินในบริเวณนั้นมีฤทธิ์เป็นกรดสูง จึงเชื่อว่ามีการปนเปื้อนของสารเคมีลงไปในดินและน้ำในปริมาณมาก จึงแปลกใจว่า ทำไมถึงยังไม่ถูกลงโทษอย่างเด็ดขาด จากหน่วยงานต่างๆที่มีหน้าที่กำกับดูแล เมื่อเป็นเช่นนี้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ สามารถใช้ช่องทางทางกฎหมายฟ้องทางแพ่งกับทางโรงงานได้เพราะการที่โรงงานถูกสั่งห้ามประกอบกิจการ หรือติดต่อเพื่อขอเยียวยาประชาชน หมายถึงยอมรับเป็นผู้ก่อให้เกิดมลพิษ ส่งผลให้คดีนี้มีประชาชนมายื่นฟ้องในจำนวนที่ไม่มากพอ ทั้งที่มีจำนวนผู้เสียหาย มากกว่าที่ฟ้องคดีในวันนี้ จึงอยากฝากถึงผู้ที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทางการพิจารณาคดีด้านสิ่งแวดล้อม อยากขอให้มีการส่งเสริมให้ประชาชนใช้สิทธิ์ ในทางคดีด้านสิ่งแวดล้อม โดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิ์ด้านนี้มากขึ้นและจะได้เป็นการป้องปรามผู้ประกอบการ หรือผู้คิดที่จะทำลายสิ่งแวดล้อมให้ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น หากประชาชนสามารถฟ้องคดีและเข้าถึงสิทธิ์นี้ได้อย่างทั่วถึงก็จะเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก ด้านมูลนิธิบูรณะนิเวศ ซึ่งได้ติดตามปัญหานี้มาตั้งแต่ต้น และเข้ามาสนับสนุนชุมชนหนองพะวาในการพิสูจน์ปัญหาการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2561 ได้สนับสนุนการฟ้องคดีของโจทก์ทั้ง 15 คน เนื่องจากพบว่า กรณีนี้มีข้อน่าสงสัยถึงการกระทำผิดของฝ่ายบริษัท โดยการละเลยในการปฏิบัติหน้าที่หน่วยงานที่กำกับดูแลคือ กรมโรงงานอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมจังหวัดมาตั้งแต่ปี 2554 น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง กล่าวว่า เรื่องนี้มีคำถามหลายประเด็นที่หน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะกรมโรงงานอุตสาหกรรม ควรรับผิดชอบ และมีการตรวจสอบเพื่อหาผู้กระทำผิดร่วมต่อไป เช่น 1.บริษัทนี้เพิ่งได้ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน 2 ใบ คือ กิจการเกี่ยวกับการอัดเศษกระดาษ และหล่อหลอมโลหะเมื่อปี2560 แต่ชุมชนในพื้นที่พบว่า โรงงานเปิดดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปลายปี 2554 โดยที่ประชาชนก็คัดค้าน จนทำให้เกิดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรของชาวบ้าน ตั้งแต่ปลายปี2554 เป็นต้นมา 2.มีเจ้าหน้าที่ของอุตสาหกรรมจังหวัดและกรมโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงเจ้าหน้าที่อื่นๆ เข้าไป ตรวจสอบหลายครั้งตั้งแต่ปี 2556 และพบว่า โรงงานครอบครองวัตถุอันตรายจำนวนมาก โดยเฉพาะน้ำมันหล่อลื่นที่ใช้แล้ว แต่ทางโรงงานก็ไม่สามารถแสดงใบอนุญาตครอบครองวัตถุอันตราย ทั้งที่เจ้าหน้าที่ถามหาหลายครั้ง นอกจากนี้ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการนำสารเคมีพิษมาบำบัด เหตุใดเจ้าหน้าที่จึงเพิ่งไปแจ้งความเอาผิดกับทางบริษัทเดือนมิถุนายน 2563 คำสั่งหรือโทษหนักสุดที่อุตสาหกรรมจังหวัดเคย สั่งการออกมาคือ ให้บริษัทหยุดประกอบกิจการชั่วคราวโดยไม่มีการลงโทษทางกฎหมาย ทั้งที่พบว่าบริษัท กระทำผิดหลายข้อและผลกระทบที่เกิดขึ้นก็รุนแรงชัดเจนมาก 3.โรงงานครอบครองวัตถุอันตรายจำนวนมาก แต่ไม่มีเครื่องจักรสำหรับการรีไซเคิลของเสีย และเมื่อเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นอื่นๆ พบเห็นแล้วทำไมจึงไม่ดำเนินการเอาผิดกับทางบริษัท เช่น ควรสั่งการให้ขนส่งไปกำจัดให้ถูกต้อง และห้ามนำของเสียอันตรายเข้ามาในพื้นที่โรงงานอีก แต่มีเพียงคำสั่งให้ปรับปรุงการดำเนินการโดยที่ไม่พบว่าไม่เครื่องจักรให้ปรับปรุงแต่อย่าmvegus1682 memberbet net mainงใด 4.การตรวจพบว่าในพื้นที่โรงงาน มีการเก็บกากอุตสาหกรรมที่เป็นของเสียอันตรายจำนวนมาก เช่น กากตะกอนน้ำมัน กากสี น้ำใช้แล้ว กากสารเคมี และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและส่งกากให้แก่บริษัทนี้คือกลุ่มอุตสาหกรรมอันตราย ซึ่งตามกฎหมายแล้วจะต้องแจ้งหรือแสดงปริมาณกาก การขนออกนอกพื้นที่โรงงาน สถานบำบัดกำจัดและวิธีการบำบัดกำจัด รวมถึงชื่อบริษัทขนส่งและบริษัทที่รับบำบัดอย่างละเอียด พฤติการณ์ของบริษัท วินโพรเสส สะท้อนถึงการกระทำผิดร่วมของโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านั้น ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม จำเป็นต้องสืบสาวเรื่องอย่างต่อเนื่องว่า มีโรงงานใด บริษัทใด ในจังหวัดระยองหรือจังหวัดอื่น ที่มีส่วนในการกระทำผิดกฎหมาย ว่าด้วยการกำจัดและบำบัดของเสียอุตสาหกรรมอันตราย ที่มีการกักเก็บอยู่ในโรงงานของบริษัทแห่งนี้ด้วย แต่ทำไมจึงไม่มีการสืบสาวและสอบสวนในเรื่องนี้ กรณีการกระทำผิดของบริษัท วินโพรเสส จำกัด ไม่ใช่ความผิดเชิงประจักษ์ของบริษัทแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการกระทำผิดร่วมที่มองไม่เห็นของอีกหลายบริษัท รวมถึงการละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมด้วย
วันนี้ (9 พ.ค.2565) กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศฉบับที่ 7 เรื่อง พายุ “อัสนี” บริเวณอ่าวเบงกอล โดยมีรา