สภาพอากาศวันนี้ ทั่วไทยอากาศร้อน สูงสุด 41 องศาฯ ภาคใต้ฝนตก 30%

วันนี้ (8 มี.ค.2568) ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และรักษาการเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวสรุปประเด็นการอภิปรา

วันนี้ (25 พ.ย.2564) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า โอลาฟ โชลซ์ หัวหน้าพรรคเอสพีดี ขึ้นแท่นว่าที่นายก

วันนี้ (29 ม.ค.2564) เมื่อเวลา 13.40 น. เกิดไฟไหม้รถส่งผู้ต้องหาของสถานีตำรวจภูธรหนองแสง จ.อุดรธานี บริเวณถนนมิตรภาพขาเข้าอุดรธานี ช่วงบ้านคำกลิ้ง เทศบาลตำบลบ้านจั่น เหตุเกิดระหว่างที่พนักงานสอบสวนนำต

วันนี้ (8 มี.ค.2568) ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และรักษาการเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวสรุปประเด็นการอภิปรายในเวที “ทุนผูกขาดกับการแทรกแซงองค์กรภาครัฐ : ชำแหละ กสทช. และข้อเสนอจากภาคประชาชน” ว่า 1.กรณีคดี ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. นั้น คำพิพากษาฉบับสมบูรณ์มีทั้งสิ้น 25 หน้า มี 12 หน้าเป็นการบรรยายฟ้องของโจทก์ และมีคำวินิจฉัยของศาล 12 หน้า ปรากฏข้อความที่ตรงกันทั้งหมดรวม 3 หน้า และมีการกล่าวถึงคำให้การต่อสู้ของจำเลยเพียง 1 ย่อหน้าเท่านั้น มีคำถามสำคัญหลายเรื่องที่ศาลชั้นต้นไม่ได้พิจารณา โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า การออกหนังสือ เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของสำนักงาน กสทช. ตามคำสั่งแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และการมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนคณะกรรมการ กสทช. โดยคณะอนุกรรมการ ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการออกหนังสือดังกล่าว เมื่อคณะอนุกรรมการไม่มีอำนาจหน้าที่แล้ว จะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบได้อย่างไร และเหตุใดศาลจึงมีดุลพินิจว่า จำเลยเป็นผู้สั่งการ ทั้งที่พยานทั้งฝั่งโจทก์และฝั่งจำเลยให้การสอดคล้องกันว่าจำเลยมิได้สั่งการ เป็นต้น เรื่องคดีนี้จึงเป็นคดีที่มีความโน้มเอียงทางการเมือง (Politicize) และทางการทุน (State Capture) 2.ประเด็นจึงนำมาสู้เรื่องทุนผูกขาดแทรกแซงองค์กรภาครัฐ หรือที่เรียกว่าการยึดรัฐ (State Capture) และเกิดปรากฏการณ์การฟ้องปิดปากประชาชนขึ้น (SLAPP law) การทำงานของประธาน กสทช. และคณะบางส่วนในคณะกรรมการชุดปัจจุบันนี้ ถูกครหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และไม่โปร่งใสหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพิจารณาการควบรวมกิจการของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ด้านโทรคมนาคม การอนุมัติงบประมาณให้กลุ่มทุนใช้เงินภาครัฐแสวงหาผลประโยชน์ การขัดมติบอร์ดยกเลิกหนังสือตอบกฤษฎีกา ตีความเรื่องคุณสมบัติ การแต่งตั้งรักษาการเลขาธิการ โดยไม่ใช้มติบอร์ดทั้งคณะ การพยายามรวบอำนาจของประธานและต่อสัญญาเจ้าหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะการแต่งตั้ง...ของเอกชนรายใหญ่ ที่มีส่วนได้เสียในการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. มาเป็น..... สามารถเข้าถึงรายงานการประชุมทุกฉบับ ตามคำสั่งที่ ... มีการส่งคนของกลุ่มการเมือง และกลุ่มทุนเข้าไปเป็นกรรมการและเจ้าหน้าที่ในหลายระดับ เพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการของกลุ่มทุนขนาดใหญ่และนำไปสู่การผูกขาด การฟ้องคดีกรรมการ กสทช. ในลักษณะนี้จึงเข้าข่ายการฟ้องปิดปาก (SLAPP Law) เป็นการฟ้องเพื่อหวังผลแพ้ชนะทางคดี เพื่อหวังผลข้างเคียงจากการดำเนินคดี เพื่อเข้าครอบงำเสียงข้างมากในการพิจารณาของ กสทช. หรือไม่ เพราะจุดประสงค์นอกคดีนี้ มีข้อครหาว่า ต้องการให้มีการสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าทfifa55u ดู บอลี่ของ กสทช.บางคน เพื่อนำมาสู่เสียงพิจารณา 3/3 ที่เท่ากันตามกฎหมาย เพื่อให้ประธานออกเสียงชี้ขาดตามระเบียบ กสทช. ซึ่งจะกลายเป็นเสียงข้างมาก ในการพิจารณาการควบรวมหรืออนุมัติโครงการต่าง ๆ ผลกระทบจากคดีนี้ จึงย่อมส่งผลต่อความเข้มแข็งจริงจังในการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และส่งผลให้ กสทช. ไม่สามารถทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะและประโยชน์สูงสุดของประชาชนตามมาตรา 60 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ 3.ประเด็นประธาน กสทช. ขาดคุณสมบัติ เมื่อคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา วุฒิสภา วินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุดในวันที่ 28 พ.ค.2567 จึงมีมติที่ประชุมเห็นชอบ และให้นำเรียนประธานวุฒิสภา พิจารณาตามหน้าที่ และอำนาจตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ในส่วนนี้ผลการขาดคุณสมบัติและกระบวนการจึงสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่ที่ประธานวุฒิสภารับทราบ จึงมีการประกาศผลทางเว็บไซต์วุฒิสภาดังที่ปรากฏ รวมไปถึงกระบวนการตรวจสอบด้วย โดยนายกรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป และปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีได้เคยหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยมีหนังสือตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร 0909/117 ลงวันที่ 16 ก.ย.2567 โดยชี้ให้เห็นถึงการมีอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา และการพ้นจากตำแหน่งทันที หากปรากฏว่า มีกรณีตามข้อร้องเรียนดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ซึ่งสอดคล้องกับหนังสือประธานวุฒิสภาเห็นชอบ ให้กรรมาธิการการเทคโนโลยีฯ ให้รีบดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อมิให้มีปัญหาข้อกฎหมายอื่นที่อาจเกิดขึ้น แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฎว่าประธาน กสทช. กลับยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายแต่อย่างใด หนังสือเปิดเผยรายงานการประชุมวิสามัญคณะกรรมาธิการวุฒิสภา ในวันที่ 5 ก.ค.2567 ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา มีมติรับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว จึงเป็นการรายงานให้วุฒิสภาทราบ ตามข้อ 77 ส่งผลให้ผลการวินิจฉัยข้อเท็จจริง กระบวนการ และรายงานสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มิได้มีการโต้แย้งข้อเท็จจริงหรือกระบวนการใดในเรื่องดังกล่าวตลอดจนไม่เคยมีการบิดเบือนผลการสอบสวน ดังนั้นทางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ย่อมสามารถพิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่าวตามหน้าที่ และอำนาจได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องรอการดำเนินการของวุฒิสภาหรือสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาแต่อย่างใด เท่ากับว่า ผลการวินิจฉัยของคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีฯ สมบูรณ์และมีผลทางกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค.2567 เป็นต้นมาส่งผลให้ประธาน กสทช. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยทันที และต้องมีการตรวจสอบว่าผลการพิจารณาต่าง ๆ หลังวันที่ 5 ก.ค. เป็นโมฆะด้วยหรือไม่ และต้องคืนเงินเดือนและค่าตอบแทนทั้งหมด เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2568 นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี ถึงปัญหาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ในการดำรงตำแหน่งประธาน กสทช. ตามคุณสมบัติ มาตรา 8 พระราชบัญญัติ กสทช. แต่ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล กสทช. แต่ได้กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีทราบเรื่องดังกล่าวแล้วเป็นอย่างดี ตามรายงานข้อสรุปของคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีฯ ที่ตรวจสอบเอกสารจากมหาวิทยาลัยมหิดล ยืนยันว่า ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ เป็นพนักงานของมหาวิทยาลัย ในช่วงที่ได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการ กสทช. อีกทั้ง ข้อมูลจากแบบ ภ.ง.ด.90 ซึ่งเป็นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงปี 2564-66 ซึ่งสรุปว่าขาดคุณสมบัติ ขัดต่อมาตรา 8 มาตรา 18 และมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ อย่างชัดเจน คำถามคือ สำนักงาน กสทช. ได้ดำเนินการหรือไม่อย่างไรกับประเด็นการขาดคุณสมบัติดังกล่าว หรือปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อ และนายกรัฐมนตรีได้มีการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่มาตรา 20 หรือไม่อย่างไรกับประเด็นการขาดคุณสมบัติดังกล่าว 4.ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี มาตรา 20 พ.ร.บ.กสทช. เป็นอำนาจหน้าที่นายกรัฐมนตรี ต้องดำเนินการตรวจสอบรวบรวมหลักฐานส่งกองนิติการ สำนักงานองคมนตรี ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเป็นเรื่องโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามกฎหมาย อำนาจหน้าที่กองนิติการข้อ 2 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า การแต่งตั้งและพ้นตำแหน่ง วุฒิสภามีอำนาจช่วยตรวจสอบตามมาตรา 8 และมาตรา 18 ตามหนังสือตอบจากกฤษฎีกา ที่ นร 0909/117 ตอบนายก 16 ก.ย.2567 นายกรัฐมนตรีจึงต้องดำเนินการตามมาตรา 20 โดยทันที การที่รองนายกฯ ตอบว่า นายกฯ ทราบเรื่องแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จ รู้แต่ไม่ทำ เท่ากับว่าปล่อยให้ประธาน กสทช. ปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยไม่มีอะไรรองรับ เพราะปกติเมื่อมีมูลหรือข้อเท็จจริงต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที แต่นายกฯ กลับปล่อยให้ทำโดยไม่มีผลการวินิจฉัยยืนยันแต่ประการใด รวมถึงหนังสือตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ไม่ปรากฏคำวินิจฉัยว่าสามารถทำได้ หรือโต้แย้งผลกรรมาธิการเทคโนโลยีฯ แต่ประการใด นายกฯ จึงมีความผิดสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากยังปล่อยให้ประธาน กสทช. ปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยไม่ทำอะไร จะเป็นการร่วมกันกระทำผิดปกปิดแล้วก้าวล่วงพระราชอำนาจ ครป. เคยยื่นหนังสือติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค.2567 ถึงเลขาธิการสำนักงาน กสทช. ยื่นรายงานการตรวจสอบของวุฒิสภาถึงสำนักงานองคมนตรี เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2567 และยื่นนายกรัฐมนตรีซ้ำ เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2567 ขอให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามมาตรา 20 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ที่นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ตามกฎหมาย หากปล่อยไว้อาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายมาตรา 157 โดยตรง นายกรัฐมนตรีจึงควรเร่งดำเนินการ ส่งผลการตรวจสอบของวุฒิสภา ไปยังสำนักงานองคมนตรีเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยข้อเท็จจริ งประเด็นดังกล่าวต่อไป แต่ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรียังไม่ดำเนินการใด ๆ โดยปล่อยให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมากว่า 8 เดือน เรื่องนี้ ถ้ามีการร้อง ป.ป.ช. นายกรัฐมนตรีอาจหลุดจากตำแหน่งได้เลย

นายธนกร อังค์วัฒนะ เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) เปิดเผยว่า "ปลาย เม.ย.2567 นี้ ลุ้นชมดาวหาง 12P/Pons-Brooks อาจสว่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า" ดาวหาง 12P/Pons-Brooks จัด