วันนี้ (6 มิ.ย.2567) เมื่อเวลา 16.06 น.ศูนย์พระราม 199 รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ ในแม่น้ำเจ้าพระยาcentral slot
วันนี้ (31 ส.ค.2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไม่กังวลกรณีพรรคร่วมรัฐบาลลงพื้นที่ปฏิบัติราชการแล้วจะเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในสนามเลือกตั้ง และไม่ห่
เป็นเวลากว่า 3 ปีที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปลี่ยนเป็นกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยใน พ.ร.บ. สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติได้มีการให้นิยามของคำว่า “นวัตกรรม” ไว้ว่า “ผลิตภัณฑ์ สิ่งประดิษฐ์ บริการ กรรมวิธีที่เกี่ยวกับการผลิต การจัดโครงสร้างองค์กร ระบบบริหารจัดการ การบริหารการเงิน ธุรกิจ การตลาด หรือในการอื่นใด ทั้งนี้ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่หรือพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในวงกว้างทั้งในเชิงพาณิชย์ และสาธารณะ” ซึ่งจะสังเกตได้ว่า มีการเพิ่มคำว่านวัตกรรมเข้ามาในชื่อกระทรวง และได้พูดถึงการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และสาธารณะ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่านวัตกรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการพัฒนาประเทศ และเป็นสิ่งที่ได้มาจากการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่จริง ๆ แล้วบ่อเกิดของนวัตกรรมคืออะไร และการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นสร้างนวัตกรรมได้อย่างไร บทความนี้ ชวนมองกรณีขององค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (CERN) ที่เป็นหนึ่งในหน่วยงานวิจัยวิทยาศาสตร์พรมแดน (Frontier Science) ที่หมายถึงการศึกษาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น ฟิสิกส์ หรือคณิตศาสตร์ ว่าเหตุใดในทุก ๆ ปี จึงมีการทุ่มเงินมหาศาลเพื่อทำให้หน่วยงานนี้ดำเนินการได้อยู่ ทั้งที่คนทั่วไปอาจไม่ได้ยินชื่อนี้มานานตั้งแต่ข่าวใหญ่เรื่องการค้นพบอนุภาคฮิกส์โบซอน (Higgs Boson) ในปี 2012 ที่ผ่านมา ในปี 2022 CERN ได้รับการอนุมัติงบประมาณสนับสนุนจากประเทศสมาชิกในกลุ่มยุโรปมากกว่า 1,400 ล้านฟรังก์สวิส คิดเป็นเงินไทยประมาณ 56,000 ล้านบาท โดยเงินเหล่านี้ประกอบไปด้วยค่าทุนวิจัย ค่าใช้จ่ายในการวิจัยด้านฟิสิกส์ ทุนการศึกษา ค่าอุปกรณ์การทดลอง และการบำรุงดูแลเครื่องจักรที่มูลค่าสูงที่สุดในโลกอย่าง เครื่องเร่งอนุภาค Large Hadron Collider (LHC) ที่มีมูลค่าสูงเกือบ 200,000 ล้านบาท และนับเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ รองจากสถานีอวกาศนานาชาติ ในเว็บไซต์ของ CERN ระบุว่า เป้าหมายของ CERN “คือการศึกษาว่าจักรวาลถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร และมีกลไกการทำงานอย่างไร ผ่านเครื่องเร่งอนุภาค ที่จะช่วยเพิ่มขอบเขตของความรู้ของมนุษยชาติ” ซึ่งสิ่งนี้อาจนำมาซึ่งคำถามว่า แล้วประชาชนผู้จ่ายภาษีได้อะไรจากการจ่ายเงินปริมาณมหาศาลให้นักฟิสิกส์กลุ่มหนึ่งที่หมกมุ่นกับคำถามว่าจักรวาลถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร แต่หากเราย้อนมองในประวัติศาสตร์แล้ว เทคโนโลยี นวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ ล้วนมีบ่อเกิดมาจากการทำงานวิทยาศาสตร์และการค้นพบใหม่ ๆ หากไม่มีการทดลองทางไฟฟ้า ทุกวันนี้การนำไฟฟ้ามาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หรือแม้กระทั่ง CERN เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี World Wide Web (WWW) ที่เราใช้กันในปัจจุบัน เราจึงอาจมองได้ว่าองค์กรเหล่านี้คือบ่อเกิดของนวัตกรรม ที่การตั้งคำถาม การศึกษา จะนำพามนุษย์เดินหน้าไปค้นพบสิ่งใหม่เสมอ การตั้งคำถามลักษณะ “เครื่องเร่งอนุภาคจะสามารถทำเงินให้กับประเทศได้เท่าไหร่ มีระยะเวลากี่ปี” จึงอาจเป็นคำถามที่ไม่ตรงจุด เพราะหากเรามองว่าวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการคิด ผลจากวิทยาศาสตร์ก็ควรเป็นกระบวนการคิดเช่นกันไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ รูปแบบการจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนของ CERN นั้นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ประเทศสมาชิกต้องจ่ายเงินตามรายได้ของประเทศ โดยคิดจากปัจจัยเช่น Gross National Product (GNP) หรือ Gross Domestic Product (GDP) เป็นต้น นั่นทำให้ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ ก็มาพร้อมกับภาระในการต้องสนับสนุนหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์นี้อย่างไม่มีเงื่อนไข กรณีของ CERN นั้นเป็นเพียงหนึ่งตcentral slotัวอย่างของการสนับสนุนองค์กรด้านวิทยาศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ โดยองค์กรอื่น ๆ ที่มีลักษณะการดำเนินการใกล้เคียงกัน เช่น ห้องวิจัย LIGO (Laser Interferometer Gravitational-Wave Observatory) ในสหรัฐฯ หรือ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) ของประเทศไทย ที่มีการศึกษาศาสตร์เชิงลึก ที่อาจยากจะมองเป็นผลิตภัณฑ์ทางเศรษฐกิจได้โดยตรง สิ่งนี้จึงน่าทำให้เรากลับมามองย้อนกระบวนการจัดการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศของเราว่า เราได้ออกแบบโครงสร้างและรูปแบบการสนับสนุนงานวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์มากเพียงใด และรูปแบบการให้ทุนนั้นเหมาะสมกับลักษณะงานหรือไม่ และเราจะออกแบบการวัดผลอย่างไร นี่จึงเป็นความท้าทายสำหรับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่จะต้องคอยเลี้ยงสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ สามารถทำงานวิจัยได้ ในขณะที่สามารถหาแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนกระบวนการนี้ได้ด้วยเช่นกัน ที่มาภาพ: CERN “รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
วันนี้ (21 ก.ค.2564) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมหารือเร
central slot -spk slotกีฬา แบดมินตัน, slot joker ฟรี เครดิต ไม่ ต้อง แชร์, mafia345 เครดิต ฟรี
วันนี้ (6 มิ.ย.2567) เมื่อเวลา 16.06 น.ศูนย์พระราม 199 รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ ในแม่น้ำเจ้าพระยาcentral slot
วันนี้ (31 ส.ค.2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไม่กังวลกรณีพรรคร่วมรัฐบาลลงพื้นที่ปฏิบัติราชการแล้วจะเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในสนามเลือกตั้ง และไม่ห่
เป็นเวลากว่า 3 ปีที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปลี่ยนเป็นกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยใน พ.ร.บ. สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติได้มีการให้นิยามของคำว่า “นวัตกรรม” ไว้ว่า “ผลิตภัณฑ์ สิ่งประดิษฐ์ บริการ กรรมวิธีที่เกี่ยวกับการผลิต การจัดโครงสร้างองค์กร ระบบบริหารจัดการ การบริหารการเงิน ธุรกิจ การตลาด หรือในการอื่นใด ทั้งนี้ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่หรือพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในวงกว้างทั้งในเชิงพาณิชย์ และสาธารณะ” ซึ่งจะสังเกตได้ว่า มีการเพิ่มคำว่านวัตกรรมเข้ามาในชื่อกระทรวง และได้พูดถึงการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และสาธารณะ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่านวัตกรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการพัฒนาประเทศ และเป็นสิ่งที่ได้มาจากการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่จริง ๆ แล้วบ่อเกิดของนวัตกรรมคืออะไร และการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นสร้างนวัตกรรมได้อย่างไร บทความนี้ ชวนมองกรณีขององค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (CERN) ที่เป็นหนึ่งในหน่วยงานวิจัยวิทยาศาสตร์พรมแดน (Frontier Science) ที่หมายถึงการศึกษาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น ฟิสิกส์ หรือคณิตศาสตร์ ว่าเหตุใดในทุก ๆ ปี จึงมีการทุ่มเงินมหาศาลเพื่อทำให้หน่วยงานนี้ดำเนินการได้อยู่ ทั้งที่คนทั่วไปอาจไม่ได้ยินชื่อนี้มานานตั้งแต่ข่าวใหญ่เรื่องการค้นพบอนุภาคฮิกส์โบซอน (Higgs Boson) ในปี 2012 ที่ผ่านมา ในปี 2022 CERN ได้รับการอนุมัติงบประมาณสนับสนุนจากประเทศสมาชิกในกลุ่มยุโรปมากกว่า 1,400 ล้านฟรังก์สวิส คิดเป็นเงินไทยประมาณ 56,000 ล้านบาท โดยเงินเหล่านี้ประกอบไปด้วยค่าทุนวิจัย ค่าใช้จ่ายในการวิจัยด้านฟิสิกส์ ทุนการศึกษา ค่าอุปกรณ์การทดลอง และการบำรุงดูแลเครื่องจักรที่มูลค่าสูงที่สุดในโลกอย่าง เครื่องเร่งอนุภาค Large Hadron Collider (LHC) ที่มีมูลค่าสูงเกือบ 200,000 ล้านบาท และนับเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ รองจากสถานีอวกาศนานาชาติ ในเว็บไซต์ของ CERN ระบุว่า เป้าหมายของ CERN “คือการศึกษาว่าจักรวาลถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร และมีกลไกการทำงานอย่างไร ผ่านเครื่องเร่งอนุภาค ที่จะช่วยเพิ่มขอบเขตของความรู้ของมนุษยชาติ” ซึ่งสิ่งนี้อาจนำมาซึ่งคำถามว่า แล้วประชาชนผู้จ่ายภาษีได้อะไรจากการจ่ายเงินปริมาณมหาศาลให้นักฟิสิกส์กลุ่มหนึ่งที่หมกมุ่นกับคำถามว่าจักรวาลถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร แต่หากเราย้อนมองในประวัติศาสตร์แล้ว เทคโนโลยี นวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ ล้วนมีบ่อเกิดมาจากการทำงานวิทยาศาสตร์และการค้นพบใหม่ ๆ หากไม่มีการทดลองทางไฟฟ้า ทุกวันนี้การนำไฟฟ้ามาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หรือแม้กระทั่ง CERN เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี World Wide Web (WWW) ที่เราใช้กันในปัจจุบัน เราจึงอาจมองได้ว่าองค์กรเหล่านี้คือบ่อเกิดของนวัตกรรม ที่การตั้งคำถาม การศึกษา จะนำพามนุษย์เดินหน้าไปค้นพบสิ่งใหม่เสมอ การตั้งคำถามลักษณะ “เครื่องเร่งอนุภาคจะสามารถทำเงินให้กับประเทศได้เท่าไหร่ มีระยะเวลากี่ปี” จึงอาจเป็นคำถามที่ไม่ตรงจุด เพราะหากเรามองว่าวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการคิด ผลจากวิทยาศาสตร์ก็ควรเป็นกระบวนการคิดเช่นกันไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ รูปแบบการจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนของ CERN นั้นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ประเทศสมาชิกต้องจ่ายเงินตามรายได้ของประเทศ โดยคิดจากปัจจัยเช่น Gross National Product (GNP) หรือ Gross Domestic Product (GDP) เป็นต้น นั่นทำให้ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ ก็มาพร้อมกับภาระในการต้องสนับสนุนหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์นี้อย่างไม่มีเงื่อนไข กรณีของ CERN นั้นเป็นเพียงหนึ่งตcentral slotัวอย่างของการสนับสนุนองค์กรด้านวิทยาศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ โดยองค์กรอื่น ๆ ที่มีลักษณะการดำเนินการใกล้เคียงกัน เช่น ห้องวิจัย LIGO (Laser Interferometer Gravitational-Wave Observatory) ในสหรัฐฯ หรือ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) ของประเทศไทย ที่มีการศึกษาศาสตร์เชิงลึก ที่อาจยากจะมองเป็นผลิตภัณฑ์ทางเศรษฐกิจได้โดยตรง สิ่งนี้จึงน่าทำให้เรากลับมามองย้อนกระบวนการจัดการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศของเราว่า เราได้ออกแบบโครงสร้างและรูปแบบการสนับสนุนงานวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์มากเพียงใด และรูปแบบการให้ทุนนั้นเหมาะสมกับลักษณะงานหรือไม่ และเราจะออกแบบการวัดผลอย่างไร นี่จึงเป็นความท้าทายสำหรับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่จะต้องคอยเลี้ยงสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ สามารถทำงานวิจัยได้ ในขณะที่สามารถหาแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนกระบวนการนี้ได้ด้วยเช่นกัน ที่มาภาพ: CERN “รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
วันนี้ (21 ก.ค.2564) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมหารือเร